ads

รับเหมาก่อสร้าง-รับสร้างบ้าน-ต่อเติม-ซ่อมแซม บ้าน อาคารโรงงาน ในเขตพื้นที่จังหวัดมุกดาหารและบริเวณใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็น-งานปูพื้น-งานตกแต่งภายใน-งานฝ้าเพดาน-งานผนังกั้นห้อง-ระบบ งานไฟฟ้า-งานขุดเจาะงาน ปรับปรุงบ้านเก่าให้เป็นบ้านใหม่ ต่อเติมอาคารร้านอาหาร,ร้านค้า, ต่อเติมบ้าน, อาคาร, ต่อครัว, ต่อโรงรถ, งานพื้น, งานผนัง, งานฝา, ทาสีอาคาร, ปูกระเบื้อง, งานเหล็ก, ทำรั้ว,กำแพง, โครงหลังคา, ซ่อมหลังคา ระเบียง ผนังรั่ว ซ่อมแซม นึกถึง ทีมงาน เฮียเล็ก ติดต่อ 0930622532

Slider[Style1]

Style2

Style3[OneLeft]

Style3[OneRight]

Style4

Style5

รู้จักสัญลักษณ์ในแบบกันเถอะ

แบบแปลน เป็นขั้นตอนพื้นฐานของนักออกแบบ ที่ไว้สื่อสารกับเจ้าของบ้านและเพื่อทำงานก่อสร้าง แปลนเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าในบ้านและห้องนั้นๆ ประกอบ ไปด้วยอะไรบ้าง ประตู หน้าต่าง บันได เฟอร์นิเจอร์ชิ้นไหนวางอยู่ตรงไหน และมีขนาดเท่าไหร่ สำหรับสถาปนิกหรือนักออกแบบย่อมต้องอ่านแบบออกอยู่แล้ว แต่สำหรับบางคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการนี้ อาจจะไม่เข้าใจวิธีการอ่านแปลน แต่ไม่เป็นไร…เราจะมาแนะนำวิธีอ่านแปลนงานออกแบบภายในขั้นพื้นฐานกัน

IMG+скетч+планн
โดยปกติเมื่อเขียนแบบแปลนสำหรับก่อสร้างอาคาร 1 ชุดจะประกอบไปด้วย แบบสถาปัตยกรรม แบบวิศวกรรมโครงสร้าง แบบวิศวกรรมงานระบบประปาและสุขาภิบาล และแบบวิศวกรรมงานระบบไฟฟ้าเป็นอย่างน้อย อาจมีแบบงานระบบอื่น ๆ งานตกแต่งภายใน งานตกแต่งทัศนียภาพภายนอกเพิ่มเติม แล้วแต่ความเหมาะสม ครั้งนี้เรามาลองอ่านแปลนกันว่ามีอะไรควรรู้บ้าง
02._______01
แปลน เป็นรูปวาดที่แสดงวัตถุจากมุมมองด้านบน พูดง่ายๆคืออยากดูแปลนชั้นไหนก็ตัดครึ่งชั้นนั้นๆ ในแบบแปลนจึงแสดงเพียงขนาดต่างๆ ในแนวราบ โดยวาดตามสเกลที่ระบุ
plan2
เมื่อได้แปลนมาก็ต้องทำความเข้าใจกับสัญลักษณ์แทนความหมายต่างๆ ซึ่งเราจะแนะนำสัญลักษณ์เบื้องต้นที่นอกเหนือจากเสา ผนัง และเฟอร์นิเจอร์ดังนี้
2
เส้นบอกระยะ (dimention) คือ เส้นบอกขนาดความกว้าง-ยาวของแต่ละห้อง ซึ่งเส้นแต่ละแบบก็บอกระยะต่างกัน เช่น เส้น dimention แบบเส้นตั้งและเส้นนอนตัดกัน มีวงกลมทับ ใช้บอกระยะจากศูนย์กลางถึงศูนย์กลาง มักใช้กับเสา บอกระยะห้องจากกลางเสาต้นแรกถึงกลางเสาต้นที่ 2 เป็นต้น
elev copy
สัญลักษณ์รูปด้าน ถ้าหัวลูกศรหันเข้า หากันจะแสดงรูปด้านรวมภายนอกอาคาร ถ้าหัวลูกศรหันออกทุกทิศทางจะแสดงรูปด้านรวมภายในของห้อง ซึ่งทั้ง 2 แบบมักวางไว้ใกล้ชื่อแปลน หรือมุมขวาล่างของแปลน ส่วนตัวเลขในวงกลมแถวบน หมายถึงแต่ละด้านในแปลน แถวล่าง หมายถึง หน้าที่แสดงรูปด้านนั้นๆ
section
สัญลักษณ์รูปตัด แสดงแนวรูปตัดอาคารหรือแปลนนั้นๆ ตัวเลขข้างบนเป็นหมายเลขรูปตัด ตัวเลขข้างล่างเป็นหน้าที่แสดงรูปตัดนั้น จากตัวอย่างคือแสดงแนวตัดของ รูปตัด A-A และ รูปตัด B-B ซึ่งแสดงที่หน้า A-05
name
สัญลักษณ์บอกชื่อห้อง นอกจากชื่อห้องแล้วยังบอกอีกว่าพื้นห้องนั้นๆใช้วัสดุอะไร และอยู่สูงจากระดับพื้นตั้งต้นเท่าไหร่

ประตู และหน้าต่าง คือ สัญลักษณ์ที่ขาดไม่ได้เลยในการเขียนแปลนพื้น เพราะเวลาเราตัดครึ่งห้อง ย่อมต้องเห็นสัญลักษณ์เหล่านี้
4
สัญลักษณ์ประตู ไม่จำเป็นต้องเป็นวงกลมเสมอไป อาจเป็นหกเหลี่ยม หรือสามเหลี่ยมก็ได้ ตัวเลขภายในอาจเป็นตัวเลขเดี่ยวๆ หรือมีตัวอักษร “D” หรือ “ป” แทรกอยู่หน้าตัวเลขก็ได้ เช่น D1, ป1 เพื่อบอกว่าประตูบานนั้นเป็นประตูลักษณะไหนซึ่งจะเห็นได้แบบขยาย (detail)
8
สัญลักษณ์หน้าต่างก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นหกเหลี่ยม และอาจมีตัวอักษร “W” หรือ “น” แทรกอยู่ข้างหน้าตัวเลขได้เช่นเดียวกับสัญลักษณ์ประตู
0139
นอกจากสัญลักษณ์หลักๆ แล้วยังมี แบบขยาย (detail) ซึ่งเป็นแผ่นที่อยู่ท้ายๆเล่มแบบก่อสร้าง แสดงให้เห็นว่าประตูและหน้าต่างแต่ละเบอร์นั้นมีลักษณะอย่างไร
02._______08 - Copy (3)
บันได เป็นสัญลักษณ์ที่ดูง่ายที่สุด เพราะเป็นเส้นขีดๆเป็นขั้นบันได ซึ่งเราสามารถนับจำนวนขั้นบันไดจริงๆได้จากในแปลน และรู้ความจากของบันไดได้จากเส้นบอกระยะ (dimention) ที่เขียนในแปลน ส่วนทางขึ้น-ลงจะมีคำว่า ‘ขึ้น (UP)’ หรือ ‘ลง (DN)’ พร้อมลูกศรบอกทิศทางการเดินกำกับอยู่เสมอ

เป็นอย่างไรกันบ้าง ได้อ่านและลองทำความเข้าใจกับสัญลักษณ์พื้นฐานเหล่านี้ดูแล้ว ไม่ยากอย่างที่คิดใช่ไหมคะ สัญลักษณ์เหล่านี้ถูกเขียนขึ้นโดยอ้างอิงตามมาตรฐานที่ยอมรับกันอยู่ทั่วไป

ข้อมูลจาก
https://dsignsomething.com/

การต่อทาบเหล็กเสริม และการจัดเรียงเหล็ก

 ใน งานก่อสร้าง นอกจากเรื่องคอนกรีตที่เราเห็นๆ กันแล้ว งานเหล็กเสริมซึ่งอยู่ภายในคอนกรีตก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เมื่อเทคอนกรีตไปแล้ว ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ ก็เลยไม่รู้ว่าข้างในเค้าวางเหล็กกันอย่างไร ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ต้องทำการตรวจสอบระหว่างก่อสร้าง โดยวิศวกรผู้ชำนาญ เพื่อให้โครงการอาคารเป็นไปตามมาตรฐาน และปลอดภัย
    ยกตัวอย่างการต่อเหล็กเสริมในเสา จากภาพด้านล่างเป็นตัวอย่างที่ไม่ถูกต้อง โดยการต่อเหล็กเสริมในตำแหน่งต่างๆ ห้ามต่อเหล็กเสริมในหน้าตัดเดียวกันเกิน 50%  เช่นในภาพด้านล่างมีเหล็กเสา 8 เส้น ดังนั้นในการต่อเหล็กเสริมในบริเวณนี้ต้องห้ามต่อกันเกิน 4 เส้น ส่วนที่เหลือให้ทำการต่อเลยระยะทาบเหล็กขึ้นไป เป็นต้น แต่ในภาพทำการต่อเหล็กในตำแหน่งเดียวกันทั้ง 8 เส้น (อ้างอิงมาตรฐาน ACI,วสท เป็นต้น)



ภาพการต่อทาบเหล็กที่ไม่เหมาะสม
ข้อกำหนดเหล็กเสริมในคอนกรีต และการจัดเรียงเหล็กตามมาตรฐาน วสท 

1. ระยะเรียงของเหล็กเสริม
1.1 ระยะเรียงของเหล็กเสริมเอกในผนังหรือพื้น ต้องไม่เกิน 3 เท่าของความหนาของผนังหรือพื้น หรือไม่เกิน 30 ซม.
1.2 ระยะช่องว่างระหว่างผิวเหล็กตั้งในเสาทุกชนิด ต้องไม่น้อยกว่า 1 ½ เท่า ของเส้นผ่านศูนย์กลางเหล็ก หรือ 1 ½ เท่าของขนาดวัสดุผสมหยาบใหญ่สุด
1.3 ช่องว่างระหว่างผิวที่อยู่ในชั้นเดียวกันของเหล็กเสริมตามยาวในคาน จะต้องมากกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางเหล็ก หรือ 1.34 เท่า ของขนาดโตสุดของวัสดุผสมหยาบ หรือ 2.5 ซม. และต้องเรียงเหล็กแต่ละชิ้นให้ตรงกันเพื่อเทคอนกรีตได้สะดวก
1.4 เมื่อเหล็กเสริมตามยาวของคานมีมากกว่าหนึ่งชั้น ช่องว่างระหว่างผิวเหล็กแต่ละชั้นต้องไม่น้อยกว่า 2.5 ซม. และต้องเรียงเหล็กแต่ละชั้นให้ตรงกัน เพื่อเทคอนกรีตได้สะดวก

2. ความหนาของคอนกรีตที่หุ้มเหล็ก
 ที่วัดจากผิวเหล็ก ต้องไม่น้อยกว่าเกณฑ์ต่อไปนี้ (ควรใช้ตามมาตรฐาน วสท. เป็นหลัก)
2.1 พื้นและคานดินที่เทลงบนดินโดยไม่มีไม้แบบท้องคาน …..……….…….6 ซม.
2.2 พื้นและคานดินที่ใช้ไม้แบบท้องคาน
สำหรับเหล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 มม. ขึ้นไป ………………………….…4 ซม.
2.3 พื้น และคานดินที่ใช้ไม้แบบท้องคาน
สำหรับเหล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 15 มม. ลงมา……………….……3 ซม.
2.4 พื้นและคานในร่มที่ไม่ถูกดิน แดด และน้ำโดยตรง…………..…………..2 ซม.
ความหนาของคอนกรีตที่หุ้มปลอกเหล็กของเสาทุกชนิด ต้องไม่น้อยกว่า 3 ซม.หรือ 1 ½ เท่า ของขนาดวัสดุผสมหยาบที่ใหญ่สุด และต้องเป็นเนื้อเดียวกันกับคอนกรีตภายในแกนเสา

3. การยึดปลายเหล็กเสริมตามยาว

3.1 ปลายเหล็กเสริม ต้องปล่อยเลยจุดที่ไม่ต้องรับแรงไปอีกไม่น้อยกว่าความลึกของคานหรือไม่น้อย กว่า 12 เท่า ของเส้นผ่าศูนย์กลางเหล็กเสริมปลายเหล็กเสริม อาจทำเป็นขอตามข้อกำหนด “ ของอมาตรฐาน ” และมีระยะที่ฝังเพียงพอ
3.2 เหล็กเสริมรับโมเมนต์บวก ต้องยื่นเข้าไปในที่รองรับไม่น้อยกว่า 15 ซม.เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามสำหรับคานช่วงเดียว และไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่สำหรับคานต่อเนื่อง
3.3 เหล็กเสริมรับโมเมนต์ลบ ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม จะต้องปล่อยเลยจุดดัดกลับโมเมนต์เป็นระยะไม่น้อยกว่าความลึกของคานหรือหนึ่ง ในสิบหกของช่องว่างของคาน

4. การต่อดามเหล็กเสริม โดย ปกติจะไม่ยอมให้มีการต่อเหล็กเสริม นอกจากที่แสดงไว้ในแบบหรือได้ระบุไว้ การต่อเหล็กเสริมนี้อาจต่อโดยวิธีทาบ วิธีเชื่อม หรือการต่อยึดปลายแบบอื่นๆ ก็ได้  ที่ให้มีการถ่ายแรงได้เต็มที่ การต่อเหล็กเสริมโดยปกติ ต้องมีระยะเหลื่อมกันไม่น้อยกว่า 50 เท่า ของเส้นผ่านศูนย์กลางสำหรับเหล็กกลม และไม่น้อยกว่า 40 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางสำหรับเหล็กข้ออ้อย ควรหลีกเลี่ยงการต่อเหล็กเสริม ณ จุดที่เกิดหน่วยแรงสูงสุดเท่าที่จะทำได้ และไม่ควรใช้วิธีต่อทาบกับเหล็กที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่า 25 มม. (ควรใช้ตามมาตรฐาน วสท. เป็นหลัก)
4.1 การต่อเหล็กเสริมรับแรงดึง ความยาวของเหล็กข้ออ้อยที่นำมาต่อทาบกัน จะต้องไม่น้อยกว่า 24, 30 และ 36 เท่า ของเส้นผ่านศูนย์กลางของเหล็กที่มีกำลังจุดคลาก 2,800, 3,500 และ 4,200 กก./ซม.2ตามลำดับ หรือไม่น้อยกว่า 30 ซม.สำหรับเหล็กเส้นผิวเรียบ ระยะทาบที่ใช้จะเป็น 2 เท่าของค่าที่กำหนดไว้สำหรับเหล็กข้ออ้อย
4.2 การต่อเหล็กเสริมรับแรงอัด สำหรับคอนกรีตที่มีกำลังอัด 200 กก./ซม.2 หรือสูงกว่านี้ ระยะทางของเหล็กข้ออ้อยจะต้องไม่น้อยกว่า 20, 24 และ 30 เท่าของเส้นผ่าศูนย์กลางของเหล็กที่มีกำลังจุดคลากเท่ากับ 3,500 หรือน้อยกว่า และค่า 4,200 กับ 5,200 กก./ซม.2  ตามลำดับ และต้องไม่น้อยกว่า 30 ซม. ถ้ากำลังอัดของคอนกรีตมีค่าต่ำกว่า 200 กก./ซม.2  ระยะทางจะต้องเพิ่มอีกหนึ่งในสามของค่าข้างต้น สำหรับเหล็กเส้นผิวเรียบ ระยะทาบอย่างน้อยจะต้องเป็น 2 เท่า ของค่าที่กำหนดไว้สำหรับเหล็กข้ออ้อย

5. เหล็กเสริมตามขวาง

5.1 ในเสาปลอกเดี่ยว เหล็กยืนทุกเส้นจะต้องมีเหล็กปลอกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เล็กกว่า 6 มม.พันโดยรอบ โดยมีระยะเรียงของเหล็กปลอกไม่ห่างกว่า 16 เท่า ของเส้นผ่านศูนย์กลางเหล็กยืน หรือ 48 เท่าของเส้นผ่าศูนย์กลางเหล็กปลอก ด้านแคบที่สุดของเสานั้นจะต้องจัดให้มุมของเหล็กปลอกยึดเหล็กยืนตามมุมทุก มุม และเส้นอื่นๆ สลับเส้นเว้นเส้น โดยมุมของเหล็กปลอกนั้นต้องไม่เกินกว่า 135 องศาเหล็กเส้นที่เว้นต้องห่างจากเส้นที่ถูกยึดไว้ไม่เกิน 15 ซม. ถ้าเหล็กยืนเรียงกันเป็นวงกลม อาจใช้เหล็กปลอกพันให้ครบรอบวงนั้นก็ได้
5.2 ในเสาปลอกเกลียว ต้องพันเหล็กปลอกเกลียวต่อเนื่องกันเป็นเกลียวที่มีระยะห่างสม่ำเสมอกัน และยึดให้อยู่ตามตำแหน่งอย่างมั่นคงด้วยเหล็กยึด จำนวนของเหล็กยึดที่ใช้ ขึ้นอยู่กับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของวงปลอกเกลียว  เหล็กปลอกควรมีขนาดใหญ่พอ (ไม่น้อยกว่า 6 มม.) และประกอบแน่นหนาพอที่จะไม่ทำให้ขาด ทำให้ระยะที่ออกแบบไว้คลาดเคลื่อนเนื่องจากการย้ายและติดตั้ง ระยะเรียงศูนย์ถึงศูนย์ของเหล็กปลอกเกลียวต้องไม่เกินหนึ่งในหกของเส้นผ่าน ศูนย์กลางแกนคอนกรีต ระยะช่องว่างระหว่างเกลียว ไม่ห่างเกินกว่า 7 ซม.หรือแคบกว่า 3 ซม.หรือ 1 ½ เท่า ของขนาดโตสุดของวัสดุผสมหยาบ การใส่เหล็กปลอกเกลียวต้องพันตลอดตั้งแต่ระดับพื้น หรือจากส่วนบนสุดของฐานรากขึ้นไป ถึงระดับเหล็กเสริมเส้นล่างสุดของชั้นเหนือกว่า ในเสาที่มีหัวเสาจะต้องพันเหล็กปลอกเกลียวขึ้นไปจนถึงระดับที่หัวเสา ขยายเส้นผ่าศูนย์กลางหรือความกว้างให้เป็นสองเท่าของขนาดเสา
5.3 ในคาน เหล็กปลอกที่ใช้ต้องมีขนาดไม่เล็กกว่า 6 มม. และเรียงห่างกันไม่เกิน 16 เท่า ของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเหล็กเสริมหรือ 48 เท่า ของขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของเหล็กปลอก ในคานที่มีเหล็กเสริมรับแรงอัดจะต้องใส่เหล็กปลอกตลอดระยะที่ต้องการเสริม เหล็กเสริมรับแรงอัด
5.4 เหล็กเสริมด้านการยืดหด ในพื้น ค.ส.ล. ที่ใช้เป็นส่วนอาคาร หรือหลังคา  ซึ่งเสริมเหล็กรับแรงทางเดียว  จะต้องเสริมเหล็กในแนวตั้งฉากกับเหล็กเสริมอกเพื่อรับแรงเนื่องจากการยืดหด ขนาดของเหล็กที่ใช้ต้องไม่เล็กกว่า 6 มม.และเรียงเหล็กห่างกันไม่เกิน 3 เท่า ของความหนาของแผ่นพื้น หรือ 30 ซม. ปริมาณของเหล็กเสริมที่ใช้จะต้องมีอัตราส่วนเนื้อที่เหล็กต่อหน้าตัดคอนกรีต ทั้งหมด ไม่น้อยกว่าค่าที่ให้ไว้ ดังนี้ (ควรใช้ตามมาตรฐาน วสท. เป็นหลัก)
- พื้นซึ่งเสริมด้วยเหล็กเส้นผิวเรียบ…………………………………………..……….…….0.0025
- พื้นซึ่งเสริมด้วยเหล็กข้ออ้อย และมีกำลังจุดคลากน้อยกว่า 4,200 กก./ซม.2……0.0020
- พื้นซึ่งเสริมด้วยเหล็กข้ออ้อย และมีกำลังจุดคลากเท่ากับ 4,200 กก./ซม.2
หรือลวดตระแกรงซึ่งระยะเรียงในทิศที่รับแรงห่างไม่เกิน 30 ซม. …….…………….…0.0018
การออกแบบควรทำรูปเหล็กที่จะต้องดัดให้ง่ายๆ และยิ่งมีน้อยอย่างยิ่งดี เพราะทุ่นค่าแรงดัด การดัดงดขอต่างๆ ต้องทำให้ถูกต้องตามแบบที่กำหนด มิฉะนั้นเมื่อนำไปผูกเป็นโครงจะไม่เข้ากัน และจะทำให้เนื้อคอนกรีตที่หุ้มเหล็กผิดไปจากที่กำหนด ถ้าทำได้ควรผูกเป็นโครงให้เสร็จเสียก่อน แล้วจึงยกเข้าใส่ในแบบ ซึ่งมีที่หนุนรองรับอยู่ให้สูงพ้นแบบตามที่ต้องการ
 
ที่มา มาตรฐาน วสท.


9 สิ่งที่ห้ามผิดพลาดในการก่อสร้าง

 ในการก่อสร้างหรือการสร้างบ้าน ในฐานะที่เราเป็นเจ้าของบ้าน หรือเจ้าของโครงการ ถ้าหากเราลองศึกษาความรู้เบื้องต้นไว้บ้างก็จะดีครับ เพผื่อจะได้ช่วยกันดู เผื่อกรณีขาดตดบกพร่อง


1. การวางผังและกำหนดจุดในการลงเข็มโครงสร้าง
ขั้นตอนนี้เป็นขึ้นตอนที่สำคัญมาก เพราะหมายถึงระยะต่างๆรอบบ้านที่ส่งผลไปถึงกฎหมายอาคารในเรื่องระยะถอยร่น และประโยชน์ในการใช้สอยตามที่เจ้าของบ้านได้กำหนดไว้ บางครั้งการวางผังผิดพลาดทำให้ต้องเสียงบประมาณในการปรับปรุงแก้ไขมากมาย โดยตรวจสอบจากหมุดเขตที่ดินเป็นหลัก

เรื่องนี้อาจย้อนกลับไปยังขั้นตอนของการออกแบบ ควรให้สถาปนิกหรือผู้ออกแบบเข้ามาวัดพื้นที่จริง เพื่อให้ได้ระยะและขนาดที่ถูกต้อง ไม่ควรวัดระยะจากโฉนดที่ดินเพียงอย่างเดียว การก่อสร้างจึงก็จะไม่มีปัญหาที่ว่าไม่สามารถวางตัวบ้านลงในพื้นที่ดินได้
1000985_533612406685895_1336707085_n
2. ในการก่อสร้าง ต้องสร้างตรงตามแบบ
บางครั้งผู้รับเหมาหรือช่าง อาจเกิดความเข้าใจผิดในแบบก่อสร้าง เพราะช่างเหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้ออกแบบตั้งแต่ต้น เจ้าของบ้านและสถาปนิกจึงควรควบคุมการก่อสร้างให้ตรงตามแบบที่คิดไว้ เช่นบางส่วนที่มีความซับซ้อนของแบบ ในเบื้องต้นอาจกำชับช่างว่า หากก่อสร้างมาถึงตรงนี้ ให้แจ้งเจ้าของหรือสถาปนิกเพื่อเข้ามาดูหน้างานอีกครั้งเพื่อความถูกต้องตาม แบบ
รวมไปถึงวัสดุต่างๆที่ระบุไว้ ควรยึดตามรายละเอียดนั้น ก่อนมีการสั่งซื้อจริงทั้งหมด ผู้รับเหมาควรมีการนำวัสดุตัวอย่างมาให้เจ้าของและสถาปนิกดูก่อน พร้อมทั้งรอการอนุมัติจากเจ้าของและสถาปนิก จึงค่อยสั่งซื้อของต่อไป
jws-con1
3. ปูนที่ใช้ในการก่อสร้าง
ปูนที่ใช้ในการเทคอนกรีตโครงสร้างต้องเป็นปูน Portland ผสมทราย หินและน้ำที่สะอาด โดยปูนที่ใช้ต้องเป็นปูนสำหรับงานโครงสร้างเท่านั้น งานฉาบและงานก่อก็เช่นกัน จะมีระบุไว้ที่ถุงของผลิตภัณฑ์ว่าใช้กับงานประเภทไหน ห้ามใช้สลับกันเด็ดขาด หรือให้ง่ายกว่านั้นอาจใช้ Concrete Ready mix ที่ผสมเสร็จมาเป็นคันรถ ก็จะได้คอนกรีตที่มีค่าการรับแรงตรงตามที่วิศวกรกำหนดเช่นกัน
2011-04-18-cement-mixer-small
4. เหล็กโครงสร้างต้องไม่เป็นสนิม
เหล็กเสริมต่างๆต้องไม่เป็นสนิม เพราะสนิมจะลดประสิทธิภาพการทำงานของเหล็กเอง แถมยังสามารถเบ่งตัว ทำให้คอนกรีตแตกร้าวเสียหายได้ด้วย ทำให้โครงสร้างเกิดปัญหาในการรับน้ำหนักในอนาคตแน่นอน หากเห็นว่ามีเหล็กโครงสร้างส่วนใดเป็นสนิม ควรสะกิดที่ปรึกษาหรือแจ้งให้ช่างช่วยเปลี่ยนหรือทำการแก้ไขให้แต่เนิ่นๆ จะดีที่สุด
วิธีที่คุ้นเคยและสะดวกอาจเป็นการใช้แปรงทองเหลืองขัด หรือใช้น้ำยากัดสนิม ทำการขจัดสนิมออกให้หมด หลังจากนั้นใช้น้ำสะอาดล้างพื้นผิวเหล็กนั้น แล้วค่อยเทคอนกรีตทำการก่อสร้างต่อไปได้เลย
NEWS0836
5. ระยะหุ้มของคอนกรีตและเหล็ก
ในขั้นตอนของการผูกเหล็กเสริมและจะทำการเทคอนกรีต หาโอกาสเข้าไปดูว่าระยะระหว่างเหล็กเสริม จนถึงไม้แบบนั้นมีระยะเท่าไร (นั่นก็คือระยะหุ้มของคอนกรีตและเหล็กนั่นเอง) อย่างน้อยต้อง 1” ขึ้นไป เพราะจะทำให้ความชื้นไม่สามารถทำปัญหาแก่เหล็กโครงสร้างได้ อีกเรื่องที่เราดูได้ด้วยตัวเองคือ หลังจากแกะไม้แบบแล้วให้ตรวจดูว่ามีการแตกร้าวหรือเป็นโพรงของคอนกรีตหรือ ไม่ ถ้าแตกร้าวเป็นแนวกว้างหรือเป็นโพรงใหญ่มากจนเห็นเหล็กเสริม ควรแจ้งวิศวกรหรือช่างให้รีบแก้ไข
1372861460-09JPG-o
6. เสาและคานต้องได้แนว
มองด้วยสายตาก่อนในขั้นแรกว่าคานต้องไม่บิดเบี้ยว เอียง เสาต้องไม่ล้มดิ่ง บิดเบี้ยว เพราะนั่นหมายถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งค่าเบี่ยงเบนนั้นไม่ควรเกิน 1 เซนติเมตร ต่อช่วงความยาวเสา 3-4 เมตร ถ้ามากกว่านี้จะทำให้เสารับน้ำหนักได้น้อยกว่ากำหนด
หากท่านผู้อ่านมี “ลูกดิ่ง” ก็ใช้ลูกดิ่งผูกเชือกหรือเส้นเอ็น หาแนวดิ่งได้ไม่ยาก หากต้องการความแม่นยำมากๆ ก็ใช้ ลูกดิ่งขนาดใหญ่ขึ้น หนักขึ้น แต่ประเภทเอาน็อตเหล็กมาผูกเชือกทำทิ้งดิ่งนั้น ไม่ควรทำเท่าไรนักเพราะหาความแม่นยำได้ยาก
OO01501673
7. เสาเอ็น, ทับหลังต้องมี
ทุกจุดของบ้านและอาคารต้องมีเสาเอ็นและทับหลังเป็นส่วนประกอบ โดยเฉพาะรอบวงกบประตู หน้าต่าง เพราะช่องประตูและหน้าต่างเหมือนผนังที่ถูกเจาะ และมีแรงสั่นสะเทือนจากการเปิดปิดประตูหน้าต่างอีก เสาเอ็นและทับหลังจึงช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับบ้านได้
จุดที่ผนังก่ออิฐวิ่งมาคนละแนวแล้วมาชนกันที่มุมหนึ่งก็ต้องมีเสาเอ็น และกรณีของผนังทึบต้องมีเสาเอ็นและทับหลังทุกๆ 3 – 4 เมตร ทั้งในแนวราบและแนวตั้ง เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกำแพงนั้น
R9867290-5
8. สายไฟต้องแยกสี
สายไฟในบ้านมักเกิดปัญหาที่ต้องซ่อมแซม หากไม่แยกสีที่ต้นสายและปลายสายไว้แต่ต้น การแก้ปัญหาก็จะทำได้ยาก เพราะไม่รู้ว่าสายไหนเป็นสายไหนและต้องรื้อระบบใหม่ในการซ่อมแซม แต่ถ้าแยกสีไว้ก็แก้ไขโดยการเปิด function box (จุดต่อสาย) และหาสายไฟเส้นที่เกิดปัญหาเท่านั้น
สายไฟฟ้า สีแดง หรือ สีดำ คือสายไฟที่มีกระแสไฟฟ้าเดินผ่าน หรือ “สายกำลังหรือเส้นไลน์ (line)” ส่วนสายไฟฟ้า สีขาว หรือ สีเทาอ่อน คือสายไฟที่ไม่มีการแสไฟฟ้า หรือ “สายศูนย์หรือสายนิวทรัล” ทำหน้าที่ให้กระแสไฟฟ้าไหลกลับ สำหรับสายดินนั้นมี สีเขียว หรือ สีเขียวสลับเหลือง เหล่านี้คือข้อมูลคร่าวๆที่มีไว้ตรวจงานเพื่อความเป็นระเบียบของงานระบบ ไฟฟ้าครับ
01360_waawr
9. ท่อน้ำดี PVC ควรมีเกลียว และแยกสี
แรงดันหรือ Pressure pipe ที่เกิดจากปั๊มน้ำ การที่ข้อต่อของท่อน้ำดีเป็นแบบเกลียว จะช่วยให้ข้อต่อมีความแข็งแรงกว่าแบบธรรมดา ที่เป็นเพียงการสวมเข้าไปและพันด้วยเทปพันเกลียว
สำหรับสีของท่อก็ควรมีการแยกเพื่อความสะดวกในการซ่อมแซมเช่นกัน ท่อสีฟ้า เป็นท่อน้ำดี น้ำเสีย และท่ออากาศ สามารถทนแรงดันน้ำได้มากน้อยตามประเภทการใช้งาน (มีหลายเกรด) ท่อสีเทา เป็นท่อน้ำทิ้ง
นอกจากทั้ง 9 ข้อนี้ อาจมีอีกหลายสิ่งที่สำคัญรองลงไป ทั้งนี้ทั้งนั้นเจ้าของบ้านก็ควรมีการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการก่อสร้าง เองด้วย ปัจจุบันก็มีการเผยแพร่มากมายทั้งหนังสือ และอินเตอร์เน็ท ใช้เวลาเล็กน้อยเพื่อเก็บข้อมูลเหล่านี้ บ้านของเราจะได้เป็นบ้านที่น่าอยู่และแข็งแรงไปนานๆ

ขอบคุณที่มาข้อมูลจาก 
https://dsignsomething.com/

มาตรฐานและวิธีการทำงานสำหรับคอนกรีต ตอนที่ 4-6

 
4. การตกแต่งผิวหน้าคอนกรีต
 
    เพื่อที่จะให้ได้ผิวหน้าของคอนกรีตที่สวยงามและเป็นเนื้อเดียวกัน ควรเทคอนกรีตให้ต่อเนื่องกันด้วยคอนกรีตที่มีส่วนผสมเหมือนกัน ใช้วัสดุผสมคอนกรีตประเภทเดียวกันและใช้วิธีการเทคอนกรีตแบบเดียวกัน
 
ข้อแนะนำ 
    การเทคอนกรีตโดยไม่ต่อเนื่องจะทำให้เกิดรอยต่อ ในกรณีที่จำเป็นต้องมีรอยต่อควรมีการวางแผนเพื่อให้รอยต่อนั้นเป็นเส้นตรง เพื่อความสวยงาม 
 
การตกแต่งผิวหน้าคอนกรีตที่ไม่ได้มีการใช้แบบหล่อ 
    โดยปกติผิวหน้าคอนกรีตที่ไม่ได้มีการใช้แบบหล่อจะหมายถึงผิวหน้าของคอนกรีตในแนวราบ
    1) หลังจากทำให้คอนกรีตแน่นและปาดผิวหน้าคอนกรีต เพื่อให้ได้ระดับและรูปร่างที่ต้องการแล้ว ควรรอให้น้ำที่เยิ้มออกจากคอนกรีตระเหยหรือถูกกำจัดหมดก่อนที่จะตกแต่งผิว หน้าคอนกรีต แต่ไม่ควรตกแต่งผิวมากหรือนานเกินไป
    2) รอยแตกที่เกิดบนผิวที่ตกแต่งไปแล้ว สามารถจะกำจัดได้โดยการทำให้แน่นหรือตกแต่งอีกครั้งก่อนคอนกรีตเริ่มก่อตัว
    3) ในกรณีที่ต้องการผิวหน้าคอนกรีตที่เรียบและแน่น สามารถทำได้โดยกดเกรียงลงบนผิวหน้าคอนกรีตที่ต้องการตกแต่งให้ทั่ว
    4) ควรหลีกเลี่ยงงานตกแต่งผิวหน้าคอนกรีตในขณะที่ฝนตก
 
ข้อแนะนำ 
    (1) ถ้าไม่กำจัดน้ำที่เยิ้มขึ้นมาบนผิวหน้าของคอนกรีตก่อนการตกแต่งผิว จะทำให้เกิดรอยแตกเล็กๆ จำนวนมากบนผิวหน้าคอนกรีตหลังจากที่ตกแต่งผิวหน้าคอนกรีตเสร็จแล้ว การที่ตกแต่งผิวมากหรือนานเกินไป จะทำให้ซีเมนต์เพสต์ขึ้นมาอยู่บนผิวหน้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะนำไปสู่การแตกร้าวบนผิวหน้าได้
    (2) สาเหตุของรอยแตกก่อนการก่อตัวของคอนกรีต อาจเกิดจากการหดตัวแบบพลาสติก (Plastic Shrinkage) หรือ การทรุดตัว (Settlement) ซึ่งในกรณีหลังจะทำให้เกิดรอยแตกบนผิวคอนกรีตตามแนวเหล็กเสริมได้
    (3) การกดเกรียงลงบนผิวหน้าคอนกรีตให้ทั่วเพื่อให้ได้ผิวหน้าคอนกรีตที่แน่น สามารถทำได้โดยรอให้ผิวหน้าคอนกรีตเริ่มมีความแข็งพอประมาณ การทดสอบอาจทำได้โดยใช้นิ้วมือกดดู ช่วงเวลาที่เหมาะสมจะเป็นช่วงที่เมื่อใช้นิ้วมือกดดูแล้วเริ่มไม่ปรากฎรอย นิ้วมือให้เห็นบนผิวหน้าของคอนกรีต
    (4) ถ้าฝนตกลงบนคอนกรีตที่เทเสร็จใหม่ๆ น้ำจะชะผิวคอนกรีตสดละทำให้มอร์ต้าร์ที่ผิวหรือใกล้ๆ ผิวน้อยลงได้ ดังนั้น ควรหยุดงานตกแต่งผิวคอนกรีตจนกว่าฝนจะหยุดตก หรือถ้าจะตกแต่งผิวขณะฝนตกควรมีหลังคาป้องกันฝนที่ได้ผลเต็มที่
 
การตกแต่งผิวหน้าคอนกรีตที่มีการใช้แบบหล่อ 
    1) โครงสร้างหรือองค์อาคารที่เป็นคอนกรีตเปลือย จะต้องมีการควบคุมการคอนกรีตและการทำให้คอนกรีตแน่น เพื่อให้ได้ผิวหน้าที่มีมอร์ต้าร์ปกคลุมจนทั่ว
    2) รอยสันหรือนูนบนผิวคอนกรีตควรได้รับการกำจัดเพื่อให้ได้ผิวหน้าคอนกรีตที่ เรียบ ส่วนรูพรุนหรือรอยแตกควรทำการซ่อมแซมด้วยมอร์ต้าร์หรือคอนกรีตที่มีส่วนผสม ที่เหมาะสม โดยการสกัดคอนกรีตส่วนที่ไม่แข็งแรงออก พรมน้ำให้เปียกแล้วจึงซ่อมด้วยมอร์ต้าร์หรือคอนกรีตที่เตรียมไว้
    3) ในกรณีที่เกิดรอยแตกร้าวอย่างรุนแรงเนื่องจากการหดตัว หรือจากความแตกต่างของอุณหภูมิ ต้องทำการซ่อมแซมโดยวิธีที่เหมาะสม
 
ข้อแนะนำ 
    (1) โดยปกติหลังจากแกะแบบหล่อแล้ว ผิวหน้าของคอนกรีตที่ดีควรจะเป็นผิวหน้าที่เคลือบคลุมไปด้วยมอร์ต้าร์ โดยไม่เห็นเม็ดหินหรือทรายอย่างชัดเจน ทั้งนี้ ยกเว้นในกรณีพิเศษที่ผิวหน้าถูกออกแบบให้เห็นเม็ดทรายหรือหิน
    (2) การตกแต่งผิวเป็นพิเศษบางอย่าง เช่น การใช้แปรง การขัด การถู หรือการฉาบด้วยพลาสเตอร์ อาจทำได้เมื่อถอดแบบแล้ว และคอนกรีตมีกำลังบ้างพอสมควร แต่สำหรับการทำหินขัด การสกัดโดยใช้ฆ้อนหรือใช้ทรายพ่นผิว จะทำได้ก็ต่อเมื่อคอนกรีตแข็งตัวโดยตลอดเสียก่อน การอุดรูพรุนและฟองอากาศอาจทำได้โดยที่ทำให้ผิวคอนกรีตเปียกโดยทั่วกันก่อน แล้วให้ใช้ส่วนผสมปูนซีเมนต์ 1 ส่วนต่อทรายละเอียด 2.5 ส่วน ถูให้ทั่วๆ ด้วยอุปกรณ์แต่งผิว
    (3) รอยแตกบางชนิดมีผลเสียต่อการรับแรงขององค์อาคาร ดังนั้น การซ่อมรอยแตกต่างๆ ต้องคำนึงถึงความจำเป็นและวิธีการที่เหมาะสมด้วย การซ่อมบริเวณที่ชำรุดควรกระทำโดยที่ไม่ขัดขวางการบ่มคอนกรีต
 
การตกแต่งผิวหน้าของคอนกรีตที่รับแรงขัดสี 
    ถ้าต้องการให้คอนกรีตมีความ ต้านทานแรงขัดสีสูง ควรใช้คอนกรีตที่มีอัตราส่วนน้ำต่อปูนซีเมนต์ต่ำและต้องทำให้แน่นเป็นอย่าง ดี อีกทั้งต้องบ่มให้เพียงพอด้วย

ข้อแนะนำ
    โดยปกติผิวคอนกรีตประเภทนี้ หมายถึง ผิวถนน ผิวเขื่อน ทางน้ำล้น ท่อน้ำ เป็นต้น การเพิ่มความต้านทานต่อการขัดสีของคอนกรีต ทำได้โดยใช้คอนกรีตที่มีอัตราส่วนน้ำต่อปูนซีเมนต์ต่ำ ใช้มวลรวมที่มีความแข็งแรงสูง เทและทำให้แน่นอย่างดี และบ่มให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ การเพิ่มความต้านทานการขัดสี อาจทำได้โดยการใช้คอนกรีตพิเศษชนิดต่างๆ เช่น โพลิเมอร์คอนกรีต หรือคอนกรีตเสริมใยเหล็ก เป็นต้น

5. การบ่มคอนกรีต
 
    คอนกรีตจำเป็นต้องได้รับการบ่มทันทีหลังจากเสร็จสิ้นการเท  และควรบ่มต่อไปจนกระทั่งคอนกรีตมีกำลังอัดตามต้องการ หลักการทั่วไปของการบ่มที่ดีจะต้องสามารถป้องกันคอนกรีตไม่ให้เกิดการสูญ เสียความชื้นไม่ว่าจะด้วยความร้อนหรือลม ไม่ให้คอนกรีตร้อนหรือเย็นมากเกินไป ไม่ให้สัมผัสกับสารเคมีที่จะเป็นอันตรายต่อคอนกรีตและไม่ถูกชะล้างโดยน้ำฝน หลังจากเทคอนกรีตเสร็จใหม่ๆ  เป็นต้น
               
การบ่มเปียก
    ในกรณีทั่วไปคอนกรีตต้องได้รับการป้องกันจากการสูญเสียความชื้นจากแสงแดดและ ลมหลังจากเสร็จสิ้นการเทจนกระทั่งคอนกรีตเริ่มแข็งแรง และหลังจากคอนกรีต เริ่มแข็งแรงแล้ว ผิวหน้าของคอนกรีตที่สัมผัสกับบรรยากาศยังต้องคงความเปียก ชื้นอยู่ ซึ่งอาจทำได้โดยการปกคลุมด้วยกระสอบเปียกน้ำ ผ้าเปียกน้ำ หรือฉีด น้ำให้ชุ่ม เป็นต้น
    -  คอนกรีตที่ใช้ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภทที่ 1 ควรบ่มเปียกติดต่อกันอย่างน้อย 7 วัน
    -  คอนกรีตที่ใช้ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภทที่ 3 ควรบ่มอย่างน้อย 3 วัน
    -  ในกรณีคอนกรีตที่มีวัสดุปอซโซลานผสม  ควรบ่มมากกว่า 7 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของวัสดุปอซโซลานที่ใช้
 
ข้อแนะนำ 
    คอนกรีตที่ไม่ได้รับการบ่มอย่างถูกต้องจะไม่มีการพัฒนากำลังเท่าที่ควร เนื่องจากปฏิกิริยาไฮเดรชั่นต้องการน้ำ  นอกจากนั้น  การสูญเสียความชื้นจากผิวหน้าของคอนกรีตที่ไม่ได้รับการบ่มจะทำให้เกิดการ แตกร้าวด้วย กรณีใช้กระสอบ หรือผ้าในการบ่มคอนกรีต  กระสอบหรือผ้าที่ใช้ควรเป็นวัสดุที่มีความหนาพอสมควรเพื่อไม่ให้แห้งเร็ว เกินไป  และต้องรดน้ำให้เปียกชุ่มอยู่ตลอดเวลาการบ่มด้วย โดยปกติ ควรบ่มคอนกรีตที่ใช้วัสดุปอซโซลานผสมแทนที่ปูนซีเมนต์บางส่วนให้นานกว่าคอนกรีตธรรมดา  เนื่องจากปฏิกิริยาปอซโซลานเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นหลังปฏิกิริยาไฮเด รชั่น  แต่ถ้าใช้วัสดุปอซโซลานปริมาณน้อย  เช่น  ไม่เกินร้อยละ 10-15 ของปริมาณวัสดุประสานทั้งหมด ก็อาจบ่มเช่นเดียวกับคอนกรีตธรรมดาก็ได้
 
สารเคมีสำหรับการบ่ม 
    โดยปกติสารเคมีสำหรับการบ่มจะใช้ต่อเมื่อไม่สามารถบ่มคอนกรีตแบบเปียกได้  สารเคมีสำหรับการบ่มนั้นจะใช้ฉีดพ่นลงบนผิวหน้าของคอนกรีตที่ต้องการบ่ม โดย ควรฉีดพ่นซ้ำมากกว่า 1 เที่ยว  เพื่อให้แผ่นฟิล์มเคลือบผิวหน้าคอนกรีตมีความหนาเพียงพอ และควรฉีดพ่นทันที ที่ผิวหน้าคอนกรีตเริ่มแห้งก็ให้ฉีดน้ำบนผิวคอนกรีตให้เปียกชุ่มไว้ก่อน
 
ข้อแนะนำ 
    การใช้สารเคมีสำหรับการบ่ม  ไม่ควรจะฉีดพ่นสารเคมีเหล่านั้นลงบนเหล็กเสริม  หรือรอยต่อของการก่อ สร้าง เป็นต้น เนื่องจากบริเวณดังกล่าวต้องการการยึดเกาะที่ดีกับคอนกรีตที่ จะเทต่อไปภายหลัง
 
ข้อควรระวังสำหรับการบ่ม 
    สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้คอนกรีตได้รับความเสียหายในขณะที่บ่มอยู่มี ดังต่อไปนี้ การสั่นสะเทือน การกระแทก การรับน้ำหนักมากเกินไป การเปลี่ยน แปลงอุณหภูมิอย่างมากในเวลาสั้นๆ เป็นต้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอายุต้นๆ ของคอนกรีต

 
6. การถอดแบบหล่อและค้ำยัน
 
    1) จะถอดแบบหล่อและค้ำยันออกได้ก็ต่อเมื่อคอนกรีตมีกำลังอัดเพียงพอที่จะสามารถ รับน้ำหนักของคอนกรีตและน้ำหนักอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในระหว่างการก่อสร้างต่อ ไป
    2) ขั้นตอนและระยะเวลาในการถอดแบบและค้ำยัน ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของปูน ซีเมนต์ ส่วนผสมของคอนกรีต  ความสำคัญของโครงสร้าง ชนิดและขนาดของโครงสร้าง น้ำหนักที่กระทำต่อโครงสร้าง อุณหภูมิ และอื่น ๆ
    3) กรณีโครงสร้างทั่วไปซึ่งมิได้มีข้อกำหนดระบุไว้ สามารถถอดแบบหล่อและค้ำยัน โดยมีค่ากำลังอัดของคอนกรีตขั้นต่ำดังแสดงใน ตารางที่ 1

ตารางที่ 1 กำลังอัดขั้นต่ำของคอนกรีตสำหรับการถอดแบบหล่อและค้ำยันของโครงสร้างทั่วไป
ชนิดแบบหล่อของโครงสร้าง
กำลังอัดขั้นต่ำของคอนกรีต ( กก./ตร.ซม.)
แบบหล่อด้านข้างของ  เสา  คาน  กำแพง
และฐานราก
50
แบบหล่อท้องพื้นและคาน
140

    4) กรณีโครงสร้างทั่วไปซึ่งมิได้มีข้อระบุไว้ และไม่มีผลทดสอบกำลังอัดของ คอนกรีต ให้ใช้ระยะเวลาถอดแบบและค้ำยันเร็วที่สุดดังตารางที่  2

ตารางที่ 2 อายุขั้นต่ำของคอนกรีตสำหรับการถอดแบบหล่อและค้ำยันของโครงสร้างทั่วไป
ชนิดแบบหล่อของโครงสร้าง
อายุขั้นต่ำของคอนกรีต  (วัน )
แบบหล่อด้านข้าง  เสา  คาน  กำแพง
และฐานราก
2
แบบหล่อท้องพื้น
14
แบบหล่อท้องคาน
21

 
ข้อแนะนำ 
    (1) ขั้นตอนและลำดับการถอดแบบหล่อและค้ำยัน  ควรคำนึงว่าโครงสร้างซึ่งมีค้ำยันค้างอยู่บางส่วนจะสามารถรับแรงหรือโมเมนต์ ที่จะเกิดขึ้นได้โดยไม่แตกร้าว
    (2) การกองวัสดุบนโครงสร้างคอนกรีต หลังจากการถอดค้ำยันแล้ว ต้องตรวจสอบว่าไม่ เป็นอันตรายต่อโครงสร้าง เนื่องจากโครงสร้างขณะนั้นอาจจะยังไม่สามารถรับน้ำ หนักบบรรทุกได้ตามที่ออกแบบไว้ นอกจากนี้ อาจจะต้องเคลื่อนย้ายวัสดุที่กอง ไว้บนโครงสร้างตั้งแต่ก่อนการถอดค้ำยันออกไป หากตรวจพบว่าอาจเกิดอันตรายต่อ โครงสร้างเมื่อถอดค้ำยันออก

การค้ำยันกลับ ( Reshoring )
    การค้ำยันกลับ  หมายถึงการถอดไม้แบบและค้ำยันของโครงสร้างคอนกรีตออกแล้วดำเนินการใส่ค้ำยันกลับคืนอีกครั้งหนึ่ง
    1) การค้ำยันกลับเพื่อรองรับน้ำหนักโครงสร้าง ต้องมีการวางแผนไว้ก่อนและได้รับการอนุมัติจากวิศวกรแล้วเท่านั้น
    2) โครงสร้างซึ่งกำลังอยู่ในระยะเวลารอการค้ำยันกลับ ห้ามมิให้รับน้ำหนัก บรรทุกจร เว้นแต่ตรวจสอบแล้วว่า ไม่เกินความสามารถรับน้ำหนักของโครงสร้าง คอนกรีตขณะนั้น
    3) ในขั้นตอนการค้ำยันกลับ โครงสร้างต้องไม่รับน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่วิศวกร กำหนดให้  อนึ่งการค้ำยันกลับจะต้องดำเนินการโดยเร็วที่สุดภายหลังจากการถอดแบบหล่อและ ค้ำยันแล้ว
    4) ค้ำยันที่ใช้ต้องขันให้แน่น เพื่อให้รับน้ำหนักโครงสร้างตามที่กำหนดไว้ ค้ำ ยันนี้ต้องคงค้างไว้จนกระทั่งผลทดสอบกำลังอัดคอนกรีตถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้
  
ข้อแนะนำ 
    (1) การค้ำยันกลับมีวัตถุประสงค์เพื่อให้โครงสร้างคอนกรีตที่เพิ่งถอดแบบสามารถ รับน้ำหนักบรรทุก  และ/หรือ  ถ่ายน้ำหนักบรรทุกที่จะมีเพิ่มขึ้นให้ลงสู่โครงสร้างส่วนล่าง
    (2) การค้ำยันกลับอาจเกิดขึ้นได้หลายกรณี อาทิเช่น
    -  การถอดไม้แบบเพื่อนำไปหมุนเวียนใช้งานในส่วนอื่น  แล้วนำค้ำยันมาค้ำกลับแทนเพื่อรับน้ำหนักบรรทุกที่จะเพิ่มขึ้นภายหลัง
    -  กรณีที่น้ำหนักบรรทุกที่จะเพิ่มขึ้นของโครงสร้างคอนกรีตมากกว่าเกินไม้แบบ เดิมจะรับได้  อาจถอดไม้แบบออกเพื่อนำค้ำยันซึ่งแข็งแรงกว่ามาค้ำกลับ


ที่ มา : "ข้อกำหนดมาตรฐานวัสดุและการก่อสร้างสำหรับโครงสร้างคอนกรีต", คณะอนุกรรมการคอนกรีตและวัสดุ คณะกรรมการวิชาการสาขาวิศวกรรมโยธา วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, มาตรฐาน ว.ส.ท. E.I.T Standard 1014-40

มาตรฐานและวิธีการทำงานสำหรับคอนกรีต ตอนที่ 1 -3


    ในการลำเลียงคอนกรีตที่ผสมแล้วต้องคำนึงถึง สภาพการลำเลียงคอนกรีตว่าต้องระวังให้เนื้อคอนกรีตสม่ำเสมอ และไม่แยกตัว ก่อนการเทลงแบบ โดยต้องป้องกันคอนกรีตจากสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศ เช่น  อุณหภูมิ ความร้อน และความชื้น เป็นต้น

 
    การเลือกวิธีการลำเลียงขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่างๆ  ดังนี้

    1) ปริมาณและอัตราการเทในแต่ละครั้ง
    2) ขนาดและประเภทของโครงสร้าง
    3) ลักษณะภูมิประเทศ สถานที่ทำงาน และเส้นทางการขนส่ง
    4) ค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าแรง ค่าเครื่องจักรอุปกรณ์ เป็นต้น


ข้อแนะนำ 
    ควรใช้เวลาในการลำเลียงคอนกรีตให้น้อยที่สุด โดยวิธีการที่เหมาะสมและ ประหยัดที่สุด เพื่อลดระยะเวลาในการเทคอนกรีตซึ่งจะทำให้คุณสมบัติของ คอนกรีตไม่เปลี่ยนแปลงและสม่ำเสมอ นอกจากนั้นเพื่อให้การลำเลียง และการเทคอนกรีตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ควรวางแผนการเทคอนกรีตทุกครั้ง โดยคำนึงถึงสภาพของคอนกรีต ลักษณะของโครงสร้างที่จะเทคอนกรีต วิธีการลำเลียง และวิธีการเทคอนกรีต โดยมีหัวข้อที่ต้องพิจารณาดังนี้ 

    (1) การเลือกใช้คอนกรีต
    นอกจากกำลังอัดคอนกรีตแล้ว  ควรเลือกใช้คอนกรีตให้เหมาะสมกับการเทลงแบบโครงสร้าง และเลือกวิธีการลำเลียงโดยคำนึงถึง ระยะเวลาในการก่อตัว ความข้นเหลว เป็น ต้น โดยทั่วไประยะเวลาในการก่อตัวของคอนกรีตจะขึ้นอยู่กับส่วนผสม คอนกรีต วัตถุดิบที่ใช้ สารผสมเพิ่ม อุณหภูมิ ความชื้นของอากาศ และวิธีการ ลำเลียง
    (2) แผนการเทคอนกรีต
    การกำหนดแผนการเทคอนกรีต ต้องพิจารณาคุณสมบัติของคอนกรีต ชนิดของโครงสร้าง วิธีการเทคอนกรีต  ปริมาณการเทคอนกรีตในแต่ละครั้ง ความยากง่ายในการเท สภาพอากาศ และอื่นๆ ที่มีผลต่อการเทคอนกรีต
    (3) เครื่องมือและคนงานสำหรับการลำเลียง และการเทลงแบบ
    การลำเลียงคอนกรีตควรรวดเร็วและใช้วิธีที่ประหยัด เพื่อลดการแยกตัวของ คอนกรีต และลดการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของคอนกรีตในด้านความสม่ำเสมอและความสามารถใน การเท ดังนั้นต้องพิจารณาจำนวน ประเภทของเครื่องมือ และจำนวนคนงานที่ใช้ในการลำเลียงคอนกรีต
    (4) เส้นทางการลำเลียงคอนกรีต
    ควรเตรียมเส้นทางการลำเลียงคอนกรีตให้พร้อมก่อนการเท เพื่อความสะดวกและรวด เร็วในการลำเลียง  และเพื่อให้งานเทคอนกรีตสำเร็จลงได้โดยใช้เวลาน้อยที่สุด
    (5) การตรวจสอบคอนกรีต
    ในขณะที่ทำการลำเลียงควรมีวิธีการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าคอนกรีตมีความสม่ำเสมอไม่แยกตัว
 

วิธีการลำเลียงคอนกรีต
 
    วิธีการลำเลียงคอนกรีตที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสถานที่ผสมคอนกรีตและบริเวณที่ จะทำการเทคอนกรีต โดยควรเลือกวิธีที่ไม่ทำให้คอนกรีตแยกตัว ตามข้อพิจารณาดังต่อไปนี้ 
     
    1) เมื่อที่ผสมคอนกรีตอยู่ในระดับเดียวกับบริเวณที่ต้องการเทคอนกรีต ควรใช้ วิธีการลำเลียงโดยคนงาน  รถเข็น รถผสมคอนกรีต สายพานลำเลียง หรือคอนกรีตปั๊ม เป็นต้น
    2) เมื่อที่ผสมคอนกรีตอยู่ในระดับสูงกว่าบริเวณที่ต้องการเทคอนกรีต ควรใช้วิธี การลำเลียงโดยราง สายพานลำเลียง หรือคอนกรีตปั๊ม เป็นต้น
    3) เมื่อที่ผสมคอนกรีตอยู่ในระดับต่ำกว่าบริเวณที่ต้องการเทคอนกรีต ควรใช้วิธี การลำเลียงโดยใช้รอก  ใช้ลิฟท์ รถเครน ทาวเวอร์เครน สายพานลำเลียง หรือคอนกรีตปั๊ม เป็นต้น
    4) เมื่อที่ผสมคอนกรีตอยู่ห่างจากบริเวณที่ต้องการเทคอนกรีต ต้องใช้วิธีการ ลำเลียงโดยรถโม่ขนคอนกรีตมาส่งที่หน่วยงาน และลำเลียงต่อไปสู่บริเวณที่ต้อง การเทคอนกรีตด้วยวิธีอื่นที่เหมาะสม

2. การเทคอนกรีต      
การเตรียมเทคอนกรีต 
    สิ่งที่ควรเตรียมก่อนเทคอนกรีต มีดังต่อไปนี้
    1) ต้องตรวจสอบปริมาณ และตำแหน่งของเหล็กเสริมให้ถูกต้องตามที่ออกแบบไว้ ตลอดจนตรวจสอบแบบเทคอนกรีตและอุปกรณ์อื่นๆ ให้ถูกต้องตามแผนที่วางไว้
    2) ตรวจสอบผนังของเครื่องมือลำเลียง เครื่องมือเท และผนังด้านในของแบบเทคอนกรีต เพื่อไม่ให้มีสิ่งสกปรกที่จะเข้าไปผสมกับคอนกรีตที่จะเท เช่น เศษดินโคลน หรือเศษไม้ เป็นต้น ผนังด้านในของเครื่องมือและแบบเทคอนกรีตดังกล่าว ควรจะมีการทำให้ชื้นก่อนเพื่อป้องกันการดูดซับน้ำจากคอนกรีตที่ลำเลียงหรือ เท
    3) ในการเทหลุมหรือบ่อ ควรกำจัดน้ำที่หลงเหลืออยู่ในบ่อก่อนที่จะเทคอนกรีต และควรป้องกันไม่ให้น้ำไหลลงไปในบ่อในขณะที่เทคอนกรีตหรือขณะที่เทเสร็จแล้ว ใหม่ๆ
 
ข้อแนะนำ 
    การผูกเหล็กเสริมและวางตำแหน่งเหล็กเสริมต้องมีความมั่นใจว่ามีความแข็งแรง พอที่จะไม่เลื่อนตำแหน่งในขณะที่เทคอนกรีต ไม้แบบต้องมีความแข็งแรงพอเช่นกัน เศษดิน โคลน หรือเศษไม้ ที่ตกค้างอยู่ตามผนังของเครื่องมือลำเลียงหรือในแบบ จะมีผลเสียต่อกำลังของคอนกรีตในบริเวณที่มีวัสดุเหล่านี้ปะปนเข้าไป การที่ผนังของเครื่องมือลำเลียงหรือผนังแบบเทคอนกรีตดูดซับน้ำจากคอนกรีตใน ขณะที่เทคอนกรีต จะทำให้ผิวคอนกรีตไม่เรียบเมื่อแกะแบบแล้ว จึงควรทำให้ผนังเหล่านั้นชื้นก่อนการเทคอนกรีต แต่ไม่ควรทำให้เปียกมากจนมีน้ำขังอยู่ในแบบ
    การลำเลียงคอนกรีตผ่านท่อเป็นระยะทางไกลๆ ควรมีการส่งมอร์ต้าร์นำไปก่อน มอร์ต้าร์ที่ใช้ส่งนำไปควรเป็นมอร์ต้าร์ที่มีส่วนผสมเหมือนกับมอร์ต้าร์ใน คอนกรีตที่จะเท ทั้งนี้เพื่อป้องกันการสูญเสียมอร์ต้าร์ไปเคลือบที่ผนังด้านในของท่อในช่วง ต้นของการลำเลียงคอนกรีต
    การเทคอนกรีตลงบนคอนกรีตเดิมหรือบนคอนกรีตที่เริ่มแข็งตัวแล้ว ควรเทมอร์ต้าร์ที่มีส่วนผสมเหมือนกับมอร์ต้าร์ในคอนกรีตที่จะเทลงไปก่อน ทั้งนี้เพื่อช่วยเพิ่มการยึดเกาะระหว่างคอนกรีตเดิมกับคอนกรีตที่เทใหม่ น้ำที่หลงเหลืออยู่ในบ่อที่จะเทคอนกรีตจะทำให้ส่วนผสมของคอนกรีตเปลี่ยนไป โดยทำให้กำลังของคอนกรีตและความทนทานลดลง ดังนั้นจึงควรกำจัดออกไปก่อนการเทคอนกรีต ในขณะที่เทคอนกรีตหรือในขณะที่คอนกรีตยังไม่แข็งตัวนั้น หากมีน้ำที่ไหลผ่านคอนกรีตน้ำจะกัดเซาะมอร์ต้าร์ออกจากผิวหน้าคอนกรีตได้ ทำให้ผิวคอนกรีตไม่สวย อีกทั้งกำลังและความทนทานในบริเวณนั้นจะลดลงด้วย
 
 
การเทคอนกรีต 
    ควรมีการวางแผนการเทคอนกรีตเพื่อให้สามารถเทได้อย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพที่สุด โดยไม่ก่อให้เกิดอุปสรรคต่องานที่ไม่เกี่ยวข้อง การเทคอนกรีตที่ดี คือการเทเพื่อให้ได้คอนกรีตที่มีส่วนผสมสม่ำเสมอ ไม่มีการแยกตัว และไม่เกิดรูพรุน 
    ไม่ควรเทคอนกรีตให้กระทบโดยตรงกับเหล็กเสริมหรือข้างแบบ ควรเทคอนกรีตลงมาตรงๆ และไม่ควรให้คอนกรีตไหลไปในแนวราบเป็นระยะทางไกล ยกเว้นในกรณีของคอนกรีตไหล ซึ่งถูกออกแบบโดยมีการควบคุมการแยกตัว ถ้าพบว่ามีการแยกตัวของคอนกรีตหลังเริ่มการเทคอนกรีต จะต้องมีการแก้ไขทันที
    ในกรณีที่แบ่งเทคอนกรีตต่อเนื่องกันเป็นชั้นๆ คอนกรีตที่เทใหม่ในชั้นบนควรเททับก่อนที่คอนกรีตชั้นล่างจะเริ่มก่อตัว
    ในกรณีที่แบบมีความสูงมากไม่ควรเทคอนกรีตโดยปล่อยให้คอนกรีตตกอิสระจากส่วน บนที่สุดของแบบ แต่ควรใช้วิธีการใด ๆ เช่น สายพาน รางเท (Chute) ถัง หรือต่อท่อ เพื่อให้ระยะตกอิสระของคอนกรีตไม่เกิน 1.5 เมตร
    ถ้าตรวจพบการเยิ้มของ คอนกรีตระหว่างการเทคอนกรีต ควรหยุดเทจนกว่าจะกำจัดน้ำที่เยิ้มออกมาบนผิวคอนกรีตให้หมดก่อนที่จะเท คอนกรีตทับชั้นบนต่อไป 
    การเทคอนกรีตต่อเนื่องกันในองค์อาคารที่มีความสูง เช่น เสา หรือกำแพง ควรเทด้วยอัตราที่ไม่เร็วเกินไป โดยปกติอัตราการเทที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณ 2 ถึง 3 เมตร (ความสูง) ต่อชั่วโมง

ข้อแนะนำ 
    การแยกตัวของคอนกรีตในขณะที่เทอาจทำให้เกิดรูพรุน (Honey-comb) ในคอนกรีตที่เทแล้ว ทั้งนี้เนื่องมาจากการที่หินซึ่งแยกตัวจากมอร์ต้าร์จะรวมกันอุดตัวอยู่ใน บริเวณเหล็กเสริมที่หนาแน่น และกีดขวางไม่ให้คอนกรีตผ่านเข้าไปเติมในบริเวณเหล่านั้นได้
    การเทคอนกรีตอาจทำให้เหล็กเสริมหรือแบบเคลื่อนตัวได้ ดังนั้นเหล็กเสริมและแบบต้องมั่นคงเพียงพอ อย่างไรก็ตามในขณะเทคอนกรีตควรให้ช่างเหล็กและช่างแบบเตรียมพร้อมอยู่เสมอ หากจำเป็นต้องแก้ไขตำแหน่งของเหล็กเสริมและแบบที่เคลื่อนตัวเนื่องจากการเท คอนกรีตอย่างทันท่วงที
    การบังคับให้คอนกรีตไหลไปในแนวราบเป็นระยะทางยาวๆ จะทำให้เกิดการแยกตัว ยกเว้นในกรณีของคอนกรีตไหลที่มีการออกแบบโดยควบคุมการแยกตัวที่ดี ดังนั้นไม่ควรใช้เครื่องเขย่าเพื่อทำให้คอนกรีตไหลไปเติมบริเวณข้างเคียง ควรระลึกอยู่เสมอว่าจุดประสงค์ของการใช้เครื่องเขย่า คือการทำให้คอนกรีตแน่นเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อเป็นการทำให้คอนกรีตไหลไปในแนวราบ
    ถ้าพบว่าคอนกรีตที่เทไปแล้ว มีการแยกตัวเกิดขึ้น แสดงว่าส่วนผสมของคอนกรีตไม่เหมาะสม จึงควรแก้ไขส่วนผสมของคอนกรีตทันทีที่ตรวจพบการแยกตัวก่อนที่จะทำการเทต่อไป
    ควรเทคอนกรีตให้ต่อเนื่องให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยหลีกเลี่ยงการมีรอยต่อ ทั้งนี้เนื่องจากรอยต่อที่เกิดจากการเทไม่ต่อเนื่องจะเป็นบริเวณที่มีแรงยึด เหนี่ยวกับคอนกรีตเดิมน้อยกว่าบริเวณที่เทได้อย่างต่อเนื่อง
    การเทคอนกรีตโดยปล่อยให้ตกจากที่สูงมากเกินไปจะทำให้คอนกรีตบางส่วนค้างอยู่ ตามเหล็กเสริมและข้างแบบในส่วนบน และเมื่อคอนกรีตเหล่านี้แข็งตัวในขณะที่ยังเทขึ้นมาไม่เต็มแบบ อาจจะเป็นอุปสรรคสำหรับการเทต่อไป เช่น กีดขวางการไหลของคอนกรีตที่เทขึ้นมาถึงระดับดังกล่าว หรือทำให้ได้ผิวหน้าของคอนกรีตไม่เรียบ อีกทั้งอาจเกิดการแยกตัวเนื่องจากหินในคอนกรีตกระทบกับเหล็กเสริมหรือข้าง แบบแล้วกระเด็นไปในส่วนอื่นของแบบ เป็นต้น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องกำหนดระยะตกอิสระของคอนกรีตเพื่อป้องกันการ เสียหายดังกล่าว
    การเทคอนกรีตในองค์อาคารที่มีความสูง เช่น เสาหรือกำแพง จะทำให้มีการเคลื่อนที่ของน้ำในคอนกรีตมาก ทั้งนี้เนื่องจากคอนกรีตด้านล่างจะต้องรับน้ำหนักของคอนกรีตที่อยู่ด้านบน มาก ทำให้น้ำเคลื่อนที่ขึ้นไปด้านบน น้ำที่เคลื่อนที่เหล่านี้จะทำให้เกิดการเยิ้ม (Bleeding) และมักจะสะสมตัวอยู่บริเวณด้านล่างของเหล็กเสริมและบริเวณด้านล่างของมวลรวม ทำให้แรงยึดหน่วงระหว่างคอนกรีตกับเหล็กเสริม และแรงยึดหน่วงระหว่างซีเมนต์เพสต์กับมวลรวมลดลง
    การเทคอนกรีตในกำแพงควรเทคอนกรีตให้เคลื่อนตัวออกจากมุมดีกว่าที่จะเทเข้าไปหามุม
    ในการเทคอนกรีตเป็นชั้นๆ ควรทำให้ส่วนบนของชั้นของคอนกรีตที่เทไปแล้วได้ระดับในแนวราบ หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับแนวราบ ก่อนการเทคอนกรีตทับชั้นบนต่อไป   

3. การทำให้แน่น
 
    ในขณะที่กำลังเทคอนกรีตอยู่นั้น จำเป็นต้องทำคอนกรีตให้แน่นโดยทั่วถึง โดยใช้อุปกรณ์ที่ใช้มือ ใช้เครื่องเขย่า หรือจะใช้เครื่องตบแต่ง ทั้งนี้เพื่อให้ได้คอนกรีตที่แน่น มีการยึดหน่วงกับเหล็กเสริมดีและได้ผิวเรียบ 
    รอบๆ เหล็กเสริม และสิ่งที่จะฝังติดในคอนกรีต และตามมุมของแบบหล่อควรจะทำคอนกรีตให้แน่นเป็นพิเศษ อาจจะใช้ฆ้อนเคาะภายนอกของแบบหล่อด้านข้างเพื่อช่วยกระจายคอนกรีตไปแทรกทุกๆ มุมของแบบหล่อ แต่ไม่ควรจะทำมากเกินไป เพราะจะทำให้คอนกรีตเกิดการแยกตัว โดยน้ำและส่วนที่ละเอียดทั้งหลายจะเคลื่อนตัวขึ้นข้างบน น้ำที่ขึ้นมานี้มักจะรวมตัวอยู่ใต้เหล็กเสริมและใต้มวลรวมขนาดใหญ่ ซึ่งจะทำให้แรงยึดหน่วงน้อยลง และกลายสภาพเป็นร่องขึ้นจนน้ำสามารถไหลผ่านคอนกรีตได้
 
การกระทุ้งด้วยมือ 
    สำหรับคอนกรีตที่อยู่ในสภาพเทได้ ต้องใช้เครื่องมือกระทุ้งให้สุดความหนาของชั้นที่กำลังเท และควรกระทุ้งให้ถึงหรือเลยเข้าไปในชั้นคอนกรีตข้างใต้เป็นระยะประมาณ 10 ซม. การใช้เกรียงตบตรงหน้าแบบหรือใกล้ๆ กับแบบตั้ง จะช่วยลดความขรุขระที่ผิว และลดรูช่องว่างที่เกิดจากฟองอากาศด้วย
    สำหรับการกระทุ้งคอนกรีตที่ค่อนข้างแห้งด้วยมือ จะใช้เครื่องมือที่มีผิวหน้าเรียบๆ และหนักตบตรงผิวจนกระทั่งมอร์ต้าร์หรือซีเมนต์เพสต์ปรากฎเป็นแผ่นบางๆ ขึ้นที่ผิว ซึ่งเป็นลักษณะที่แสดงว่าช่องว่างในมวลรวมนั้นถูกซีเมนต์เพสท์แทรกเต็มหมด แล้ว
 
ข้อแนะนำ 
    การกระทุ้งด้วยมือเหมาะสมกับงานคอนกรีตที่มีปริมาณการเทน้อยหรืองานคอนกรีต ที่เหลวมาก เหล็กกระทุ้งอาจเป็นเหล็กเส้นกลมหรือเหล็กข้ออ้อย ซึ่งควรเลือกใช้ท่อนเหล็กที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอย่างน้อย 16 มม.
 
การเขย่าด้วยเครื่อง 
    โดยทั่วไปการเขย่าด้วยเครื่องมีผลดีคือ สามารถใช้กับกรณีที่ไม่สามารถทำให้แน่นด้วยการกระทุ้งด้วยมือ ฉะนั้น การเขย่าด้วยเครื่องจะช่วยทำให้คอนกรีตที่มีค่าการยุบตัวต่ำสามารถอัดตัว แน่นได้ในแบบหล่อที่ลึกและแคบ หรือบริเวณที่มีเหล็กเสริมหนาแน่นและมีระยะเรียงของเหล็กเสริมแคบมาก ในกรณีคอนกรีตที่มีส่วนผสมเหลวและมีค่าการยุบตัวสูงจำเป็นต้องกระทุ้ง คอนกรีตให้แน่นด้วยมือ แต่ถ้ามวลรวมหยาบเกิดแยกตัวเนื่องจากการเทคอนกรีตผิดวิธี จะแก้ไขด้วยวิธีใช้การเขย่าด้วยเครื่องไม่ได้
    เครื่องเขย่าคอนกรีตแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ เครื่องเขย่าภายในแบบหล่อ เครื่องเขย่าที่วางบนผิวคอนกรีต และเครื่องเขย่าชนิดที่ตรึงติดกับแบบหล่อ
 
ข้อแนะนำ 
    ไม่ว่าจะใช้เครื่องเขย่าคอนกรีตชนิดไหนก็ตาม ควรเว้นระยะห่างสั้นๆ ให้เพียงพอที่ส่วนของคอนกรีตที่ถูกเขย่าแล้วมีระยะเหลื่อมกันโดยไม่เว้นข้าม ส่วนไหนเลย ควรให้การเขย่าดำเนินต่อไปจนกระทั่งคอนกรีตแน่นตัวทั่วกันดี และแทรกเต็มช่องว่างทั้งหมด โดยสามารถสังเกตจากผิวคอนกรีตซึ่งจะมีลักษณะเรียบ และมวลรวมต่างๆ จมในคอนกรีต การเขย่ามากเกินไปจะทำให้มวลรวมหยาบทรุดตัวลงไปข้างล่าง ปล่อยให้น้ำหรือซีเมนต์เพสต์ลอยขึ้นมาข้างบน ปกติการเขย่าควรจะให้ผลที่ต้องการภายใน 5-15 วินาที ที่จุดห่างกัน 45-75 ซม.
    เครื่องเขย่าภายในแบบหล่อ โดยทั่วไปหมายถึงเครื่องเขย่าแบบหัวจุ่ม ควรจะแหย่ลงไปในแนวดิ่งจนสุดความลึกของชั้นที่จะเท ไม่ควรลากหัวจุ่มผ่านคอนกรีตนั้นในแนวราบ ควรใช้วิธีแหย่หัวจุ่มลงไปและถอนขึ้นมาอย่างช้าๆ โดยเดินเครื่องอยู่ตลอดเวลาขณะที่กำลังถอนหัวจุ่มออกจากมวลคอนกรีต เพื่อจะได้ไม่มีรูช่องว่างเหลือค้างอยู่ในคอนกรีต ไม่ควรใช้เครื่องเขย่าเพื่อทำให้คอนกรีตไหลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เพราะจะทำให้เกิดการแยกตัวขึ้นโดยหินจะตกค้างอยู่ในบริเวณที่แหย่หัวจุ่ม ค่อนข้างนาน
    เครื่องเขย่าชนิดวางบนผิวคอนกรีต จะใช้ทำให้ชั้นที่กำลังเทแน่นตัวจนตลอดความหนาของชั้น แต่ถ้าทำให้แน่นตลอดชั้นไม่ได้ควรลดความหนาของชั้นลงมา หรือใช้เครื่องเขย่าที่มีกำลังสูงกว่า
    เครื่องเขย่าชนิดที่ตรึงติดแบบหล่อ จะใช้ได้ดีสำหรับการเขย่าคอนกรีตที่มีความหนาน้อย หรือที่ตำแหน่งซึ่งเครื่องเขย่าภายในเข้าไม่ถึงเท่านั้น
    ควรระมัดระวังเรื่องการเลือก การติดตั้ง และการเคลื่อนย้ายเครื่องเขย่าบ่อยๆ เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดต่อความหนาแน่นของคอนกรีต การเขย่าชั้นตื้นๆ ให้ทั่วจะช่วยลดจำนวนฟองอากาศในท่อคอนกรีตสำเร็จรูปได้อย่างมาก ตามปกติ การเขย่าคอนกรีตชั้นที่ลึกลงไป หรือการเขย่าเหล็กเสริม จะทำให้คอนกรีตที่เริ่มแข็งตัวไปแล้วบางส่วนเกิดความเสียหายเพียงเล็กน้อย แต่ทั้งนี้ต้องระวังอย่าให้เกิดความเสียหายถึงขนาดที่จะแก้ด้วยการเขย่าซ้ำ ไม่ได้ขึ้นเป็นอันขาด เนื่องจากการเขย่าคอนกรีตซ้ำจะเป็นประโยชน์ตราบเท่าที่คอนกรีตยังไม่เริ่ม ก่อตัว
    ตราบใดที่เครื่องเขย่าชนิดที่ใช้แหย่ลงไปในคอนกรีตยังคงจมลงไปในคอนกรีตด้วย น้ำหนักตัวเองได้ การเขย่าคอนกรีตซ้ำจะมีประโยชน์มาก การเขย่าซ้ำทีหลังนี้จะช่วยขจัดการแตกร้าวทางแนวราบ และลดรอยร้าวเนื่องจากการหดตัวซึ่งเกิดจากการทรุดตัวของคอนกรีตที่ติด ค้างอยู่บนเหล็กเสริมหรือค้างอยู่กับแบบหล่อที่ขรุขระได้
 
การขจัดรอยร้าวเนื่องจากการหดตัวแบบพลาสติกและการทรุดตัวของคอนกรีต 
    ถ้ามีรอยร้าวเนื่องจากการหดตัวแบบพลาสติกและรอยร้าวเนื่องจากการทรุดตัวของ คอนกรีตเกิดขึ้น ควรทำให้คอนกรีตแน่นทันทีโดยการใช้เกรียงปาดหรือตบที่ผิวเพื่อขจัดรอยร้าว ดังกล่าว
 
ข้อแนะนำ 
    ถ้าพื้นหรือคานคอนกรีตมีการต่อเชื่อมกับผนังหรือเสา เพื่อป้องกันการเกิดรอยร้าวเนื่องจากการทรุดตัว คอนกรีตของพื้นหรือคานควรจะเทหลังจากการทรุดตัวของคอนกรีตของผนังและเสาสิ้น สุดแล้ว นอกจากนี้ วิธีการดังกล่าวสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับโครงสร้างที่มีส่วนยื่น
    ในกรณีของโครงสร้างคอนกรีตที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ระดับการทรุดตัวของคอนกรีตขึ้นอยู่กับพื้นที่หน้าตัดของโครงสร้าง และเมื่อคอนกรีตถูกเทครั้งเดียวรอยร้าวมักจะเกิดขึ้นในตำแหน่งที่เป็นขอบเขต ของพื้นที่หน้าตัดต่างๆ ดังนั้น การเทคอนกรีตควรจะหยุดชั่วคราวเมื่อมีพื้นที่หน้าตัดแตกต่างกัน การเทคอนกรีตในส่วนบนซึ่งรวมถึงส่วนยื่นด้วยควรจะกระทำหลังจากการทรุดตัวของ คอนกรีตในส่วนล่างสิ้นสุดแล้ว ระยะเวลาที่เกิดการทรุดตัวของคอนกรีตขึ้นอยู่กับส่วนผสมคอนกรีต วัสดุที่ใช้ อุณหภูมิ เป็นต้น โดยปกติจะอยู่ในช่วง 1-2 ชั่วโมง
 
ต่อบทความหน้าใน ตอนที่ 4-6 นะครับ 
 
ขอบคุณที่มาข้อมูล http://www.cpacacademy.com/index.php?tpid=0143

จับได้ ไล่ทัน ผู้รับเหมา ก่อนคิดสร้างบ้าน ซื้อบ้าน ตอนที่ 2


เสาเอ็น ทับหลัง

เสาเอ็น ทับหลัง คือ เสาและคานขนาดเล็ก เสาเอ็นจะอยู่ด้านซ้ายและขวาของวงกบประตูและ หน้าต่าง ส่วนทับหลังจะอยู่ด้านบนวงกบประตู ส่วนหน้าต่างจะมีทับหลังด้านบนและด้านล่างของวงกบ
ขนาดของเสาเอ็น ทับหลัง  ถ้าเป็นงานหลวงประมาณ 15 ซ.ม. บ้านทั่วไปประมาณ 10 ซ.ม. ผู้รับเหมาบางรายก็ไม่ทำให้  แต่ถ้าให้ดีควรจะ 20 ซ.ม.

ส่วนผสมของเสาเอ็น ทับหลัง คือ คอนกรีต  ส่วนผสมของคอนกรีต คือ ปูนช้าง+หิน+ทราบหยาบ+น้ำสะอาด+เหล็กเส้น ส่วนมากผู้รับเหมาจะใช้ปูนเสือ+ทรายหยาบ+เหล็กเส้น โดยไม่ใส่หิน เนื่องจากถ้าใส่หินแล้วจะเทลำบาก บางรายไม่ใส่เหล็ก บางรายไม่ทำเสาเอ็น ทับหลัง แต่ก่ออิฐชนวงกบเลยก็มี(เยอะด้วย)
ผนังใหญ่ ๆ ที่ไม่มีหน้าต่าง ประตู ก็ต้องมีทับหลังด้วย คือ ก่ออิฐไปครึ่งหนึ่งทิ้งไว้ให้ผนังแห้งสัก 1-2 วัน แล้วทำแบบเพื่อเททับหลัง รอทับหลังแห้งสัก 1-2 วัน ค่อยแกะแบบ แล้วก่ออิฐต่อ อย่างก่อชนใต้คานทันทีควรรอสัก 1-2 วัน ให้ผนังก่ออิฐเซฟตัวก่อน แล้วยัดหัวปลาสร้อย(คือก่ออิฐเฉียง ๆ ประมาณ 45 องศา ใต้ท้องคาน)
ควรราดน้ำที่ผนังหลังจากปูนก่อแห้งแล้วสัก 2 วัน เพื่อความแข็งแรง
ทำไมต้องมีเสาเอ็น ทับหลัง ก็เพราะว่า ป้องกันการร้าวตรงมุมวงกบประตู หน้าต่าง(ร้าวเป็นแนวเฉียงๆ)
ทำไมถึงร้าว ก็เพราะว่า ถ้าเป็นวงกบไม้ จะมีการยืดและหดของไม้ บวกกับการเปิดปิดประตู หน้าต่างทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือน ซึ่งเป็นสาเหตุของการร้าว ในกรณีที่ไม่มีเสาเอ็น ทับหลัง

งานฉาบปูน

ก่อนการฉาบปูน เสา คาน เสาเอ็น ทับหลัง ต้องสลัดดอกก่อนทุกครั้ง เพื่อป้องกันการล่อนของปูนฉาบ
บริเวณรอยต่อระหว่าง เสา คาน เสาเอ็น ทับหลัง ต้องใช้ลวดตาข่ายกรงไก่แบบหกเหลี่ยมกว้าง 10-15   ซ.ม. ขึงคล่อมระหว่าผนังก่ออิฐกับเสา คาน เสาเอ็น ทับหลัง ตลอดแนว โดยใช้ตะปูคอนกรีตตัวเล็กตอกยึดตาข่าย
ถ้าเป็นไปได้ผนังทิศตะวันตกและทิศใต้ ควรใช้ลวดตาข่ายขึงทั้งผนัง แล้วฉาบปูนทับ
ขึงตาข่ายเพื่ออะไร  ก็เพื่อป้องกันรอยร้าวที่อาจเกิดขึ้นบริเวณรอยต่อของอิฐกับคอนกรีต ส่วนทางทิศตะวันตกและทิศใต้ ขึงเพื่อป้องกันรอยร้าวที่อาจเกิดขึ้นในวันข้างหน้า เพราะผนังด้านดังกล่าวจะถูกแดดเผา ต้องจับปุ่มบริเวณผนังที่กว้างมาก ป้องกันผิ;ปูนฉาบไม่เรียบ
หลังจากสลัดดอกและขึงตาข่ายแล้ว เย็นวันก่อนการฉาบปูนให้ราดน้ำที่ผนังที่จะฉาบให้ชุ่ม  ในวันฉาบปูนก็ต้องร าดน้ำให้ชุ่มอีก เน้นบริเวณ เสา คาน ให้มาก ๆ เพราะเสา คาน จะดูดน้ำจากปูนฉาบ ถ้าราดน้ำบริเวณนี้น้อยเกินไป แล้วจะเกิดปัญหาปูนฉาบล่อนตามมา
วันรุ่งขึ้นหลังจากฉาบปูนเสร็จให้ราดน้ำที่ผนังอย่างน้อย 2 วัน ป้องกันการคลายน้ำเร็วเกินไป ซึ่งจะแก้ปัญหาปูนฉาบแตกลายงาได้
สาเหตุที่ผนังร้าว แตกลายงา เนื่องจาก ก่อนฉาบปูนราดน้ำน้อยเกินไป ทำให้อิฐดูดน้ำจากปูนฉาบ หรือผนังก่ออิฐไม่ตรง คดไปคดมา ทำให้บริเวณที่ฉาบต้องฉาบปูนหนาบ้าง บางบ้าง รอยต่อบริเวณปูนฉาบหนา-บางนี้จะเกิดรอยร้าวเนื่องจากปูนหดตัวไม่เท่ากัน หรือ ร้าวบริเวณเสาเอ็น ทับหลัง เนื่องจากเทปูนหนาหรือบางกว่าผนังก่ออิฐ ทำให้ปูนฉาบหนาไม่เท่ากัน ก็จะเกิดรอยร้าวได้ หรือ ส่วนผสมของปูนฉาบไม่ได้ตามสูตร หรือ ใช้ปูนที่หมดอายุ(ปูนหมดอายุ คือ ปูนเป็นเม็ดไม่เป็นผง หรือ ผสมปูนฉาบแล้วปล่อยทิ้งไว้นานเกิน 1 ช.ม.) ปูนฉาบควรผสมน้ำยาผสมปูนฉาบ ตามอัตราส่วนที่ระบุไว้ในฉลาก  หรือใช้ปูนฉาบสำเร็จรูป แต่ต้องใส่น้ำตามปริมาณที่ผู้ผลิตกำหนด
ช่างฉาบส่วนมากจะไม่ยอมให้ราดน้ำที่ผนังมากๆ เพราะฉาบยาก จะอ้างว่าฉาบไม่ได้เดียวไม่แห้งปูนฉาบจะไหล  ส่วนปูนฉาบมักจะผสมให้เหลวมาก เพราะว่าฉาบง่าย ไม่กินแรง แต่จะทำให้ผนังแตกลายงาได้เพราะน้ำในปูนฉาบมากเกินไป เวลาน้ำระเหยจะทำให้ปูนฉาบหดตัวมากจึงเกิดรอยร้าวแบบแตกลายงาได้
การฉาบผนัง 1 ด้าน ปกติจะฉาบกัน 1 วัน แต่เดี๋ยวนี้แค่ครึ่งวันก็เสร็จ เพราะผู้รับเหมาต้องการได้งานมาก ๆ จะรีบส่งงาน ซึ่งมีข้อเสียคือ รอยร้าว ผนังไม่เรียบเป็นคลื่น
ปกติครึ่งวันแรกจะฉาบรองพื้น แล้วใช้สามเหลี่ยมปาดปูนให้เรียบ พอตกบ่ายก็จะปั่นด้วยเกียง(ควรใช้เกียงที่ทำจากไม้ เพราะเกียงไม้ตัวเกียงจะไม่แอ่น ส่วนเกียง พีวีซี จะแอ่น) ตอนลงฟอง คือ ช่างฉาบจะใช้ฟองน้ำชุบน้ำแล้วบิดน้ำพอหมาด ๆ แล้ววางบนเกียง นำไปปั่นผิวปูน อย่าให้ช่างบิดน้ำออกจากฟองน้ำจนแห้ง เพราะถ้าฟองน้ำแห้ง ฟองน้ำจะเป็นตัวดูดน้ำปูนจากผนังที่ฉาบ ทำให้ผนังเป็นเม็ดทรายและแตกลายงาได้ หลังจากลงฟองเสร็จ ก็จะใช้ไม้กวาดดอกหญ้าปัดทรายที่ผนังออก
ขณะฉาบสังเกตพื้นด้วยว่ามีขี้ดินหรือไม่เพราะเวลาฉาบ ปูนฉาบจะตกลงพื้น ช่างฉาบจะนำปูนที่ตกไปใช้ใหม่  ถ้าพื้นสกปรกให้บอกช่างว่า ห้ามนำปูนที่หล่นมาฉาบ
อย่าลืมปูนฉาบที่ผสมแล้วมีอายุแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น
บริเวณมุมผนัง 2 ผนังที่ชนกัน หรือมุมเสา ต้องใช้เหล็กฉากขูดปูนฉาบ เท่านั้น เพื่อที่จะได้ผนังที่มีเหลี่ยม และได้ฉาก ส่วนมากช่างไม่ทำให้
ผนังที่โดนแดด ขณะที่ฉาบปูนต้องมีผ้าใบขึงไว้กันแดดเผาปูนฉาบ

งานสี

หลังจากฉาบผนังเสร็จ ต้องรอผนังแห้งสนิทก่อน ใช้เวลาประมาณ 20 วัน ถ้าให้ดีต้อง 30 วันขึ้นไป แล้วค่อยทาสี ไม่เช่นนั้นจะเกิดการด่างของสี ถ้าเป็นสีที่ยืดได้แล้วละก้อ จะทำให้สีพองได้ ถ้าผนังยังไม่แห้ง
ถ้ามีรอยร้าวจากการฉาบที่ไม่ใช่เกิดจากโครงสร้างทรุดตัว ให้ใช้สีโป๊ว อุดรอยร้าว ยี่ห้อที่ควรใช้ คือ ไอซีไอ หรือ ทีโอเอ เท่านั้น เพราะยี่ห้ออื่นระยะยาวจะมีคราบเหลืองเกิดขึ้น  แต่ถ้าทาสีด้วยสียืดได้ เช่น ทีโอเอ 7 in 1 ควรถามรายละเอียดจากร้านสี เพราะจะต้องใช้สีโป๊ว,สีรองพื้นสำหรับสีประเภทนี้
เทคนิคการโป๊วสีให้เนี้ยบ  คือ หลังจากโป๊วแล้ว ให้ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดบริเวณข้าง ๆ รอยร้าว หรือใช้แปรงสีฟัน ขัดบริเวณที่โป๊ว เพื่อทำสีโป๊วให้เป็นเนื้อเดียวกับปูนฉาบ ผนังจะมีเม็ดทราย ส่วนที่โป๊วจะเนียน จึงจะต้องทำวิธีดังกล่าวให้บริเวณที่โป๊วกลมกลืนกับผนัง ส่วนมากช่างไม่ทำอีก เพราะ เสียเวลา
ห้ามใช้ยิปซั่ม,ดินสอพลอง อุดรอยร้าวเด็ดขาด เพราะจะล่อนในภายหลัง ส่วนมากช่างชอบทำแบบนี้
ระวังสีปลอม สีที่ทาต้องไม่มีรอยเปิด แต่บางช่างมีวิธีเปิดแบบไม่มีล่องรอย โดยการใช้สีปลอมเทในถังสีจริงแล้วเทสีจริงทับหน้านิดหน่อยเพื่อความแนบเนียน วิธีพิสูจน์ ต้องดมกลิ่น หรือให้ทางบริษัทผู้ผลิตมาพิสูจน์

อย่าลืม...
-วัดขนาดตัวบ้านและพื้นที่รอบบ้าน ว่า ตรงกับแบบแปลนหรือไม่เพราะบางที่เขาลดขนาดลง ไม่ทำตามแบบ
-ดูท่อน้ำดี ว่าใช้อย่างหนา 13.5 หรือไม่ บางโครงการลักไก่ เอาท่อหนา 8.5 ใส่ให้บางจุด
-เคาะดูพื้นปูหินแกรนิต,กระเบื้อง ว่าล่อนหรือไม่
-มีการยึดน็อตหลังคาหรือไม่ อย่างน้อยควรยึดน็อตแถวเว้นแถว หรือไม่ก็ผูกลวด(ลวดกันสนิม คือ ลวดสีขาว)
-ฝ้ายิปซั่มในห้องน้ำเป็นแบบกันชื้นหรือไม่  ใช้ฝ้าแบบของลาดหรือไม่ ลอยแต่ของฝ้าต้องใช้ผ้าปิดทับแล้วฉาบยิปซั่ม
-อย่าลืมล้างท่อน้ำดี โดยการปล่อยน้ำทิ้งก่อนการใส่ก๊อกน้ำทุกจุด เพื่อที่จะล้างเศษกาว,เศษท่อพีวีซีและสิ่งสกปรกที่อยูุในท่อ
-พื้นไม้ให้ดูก่อนการทำสีว่าเป็นไม้ที่ตกลงกันหรือไม่ บางหมู่บ้านใช้ไม้เบญพรรณแล้วย้อมสีให้เป็นไม่มะค่า
-พื้นไม้จริงทุกชนิด "ห้าม" ปูชิิดผนังเด็ดขาด เพราะไม้จะขยายตัวในช่วงหน้าฝน จะทำให้ไม้เบ่งและระเบิดขึ้นได้ ควรเว้นใ้ห้ห่างจากผนัง 0.5-1 ซ.ม. แล้วใช้บัวพื้นปิดทับ
-อ่างล้างจานที่เป็นสแตนเลสห้ามโดนน้ำปูน เพราะจะด่างถาวร
-ควรเดินท่อน้ำ-ท่อไฟ ก่อนการก่ออิฐ ช่างชอบก่ออิฐ ฉาบปูนก่อน แล้วค่อยสกัดผนังเพื่อฝังท่อต่าง ๆ
-ท่อไฟจะมีสีเหลือง ขาว และท่อเหล็ก ห้ามใช้ท่อฟ้าที่เป็นท่อน้ำ หรือท่อเทาซึ่งเป็นท่อน้ำทิ้งแอร์ เพราะบางช่างใช้ท่อน้ำทิ้งแอร์เป็นท่อไฟ ห้ามเด็ดขาด เพราะมันบาง ไม่ทนความร้อน
-ท่อไฟ ท่อน้ำ ห้ามเดินคู่กัน

ข้อมูลโดย  จากคุณ : amata-idea (amata-idea) จาก pantip.com

จับได้ ไล่ทัน ผู้รับเหมา ก่อนคิดสร้างบ้าน ซื้อบ้าน ตอนที่ 1


ก่อนคิดสร้างบ้านหรือซื้อบ้าน ควรมีความรู้เรื่องงานก่อสร้างบ้าง เพื่อจะได้ไม่โดนช่างตัวแสบหรอก

จากประสบการณ์จริงของการสร้างบ้าน ซึ่งได้ถามอาจารย์ ผู้รับเหมาที่ดี และศึกษาจากหนังสืองานก่อสร้างต่าง ๆ พอจะสรุปสาระสำคัญ ๆ แบบง่าย ๆ ได้ดังนี้

เสาเข็ม
-ต้องไม่มีรอยร้าว
-ต้องมี มอก. รับรองคุณภาพ
-ต้องมี วดป. ที่ผลิต
-ต้องมีเหล็กแผ่นสำหรับเชื่อมต่อเสาเข็มกรณีที่ต้องต่อเสาเข็ม
-อายุเสาเข็มที่นำมาใช้ต้องได้ 30 วัน เป็นอย่างน้อย
วิธีการสังเกต การตอกเสาเข็มของรถปั้นจั่น

-ขนาดของตุ้มที่ตอกต้องมีน้ำหนักพอเหมาะกับขนาดของเสาเข็ม
-เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเสาเข็มแต่ละต้นนั้นตอกถึงดินดานจริง วิธีการสังเกต คือ เมื่อถึงขั้นตอนเช็คโบฯ ให้ดูที่สลิงยึดตุ้มที่รถปั้นจั่น ขณะตอกสลิงต้องหย่อนเหมือนตอนที่เริ่มตอก ผู้รับเหมาบางรายที่ใช้เสาเข็มสั้นไปและไม่ยอมต่อเสาเข็ม เขาจะให้วิธีให้รถปั้นจั่นตอกไม่เต็มที่ คือ ขณะตอกสลิงจะตึง เพื่อที่จะให้ดูว่าเสาเข็มต้นนั้นตอกไม่ลงแล้ว
-ต้องตั้งเสาเข็มให้ตรงตำแหน่งหมุด โดยใช้ตลับเมตรวัด อย่าใช้สายตากะระยะ(ส่วนใหญ่จะไม่ใช้ตลับเมตรวัดกัน) เพราะจะทำให้เสาเข็มไม่ตรงศูนย์กลาง ซึ่งมีผลกับการรับน้ำหนัก
-เวลาตอกเสาเข็มต้องไม่เอียง วิธีดูว่าตรงไหม คือ ให้หาเหล็กเส้นยาวประมาณ 1.5 เมตร งอปลายบน 90 องศา ยาวประมาณ 30 ซ.ม. จากนั้นตอกเหล็กเส้นลงบนดิน ห่างจากเสาเข็ม 15-20 เมตร หาเชือกหรือเอ็นผูกกับตุ้มเหล็กหรือหิน แล้วนำไปผูกกับปลายเหล็กเส้นที่งอไว้ จากนั้นก็เล็งผ่านเชือกหรือเอ็น มองไปทางเสาเข็มที่จะตอก เสาเข็มต้องขนานกับเชือกหรือเอ็นที่เราทำไว้  ต้องทำแบบนี้ 2 จุด อีกจุดหนึ่งที่ต้องทำคือ ประมาณ 90 องศาจากแนวแรก แล้วเล็งเหมือนเดิม

เหล็กเส้น

เหล็กเส้นมี 2 ชนิด คือ เหล็กเส้นกลม และ เหล็กเส้นข้ออ้อย  เหล็กเส้น 2 ชนิดนี้ มีทั้งแบบเหล็กเต็มกับเหล็กไม่เต็ม  เหล็กเต็มคือ เหล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางได้ขนาดตามที่กำหนดไว้ เช่น เหล็ก 4 หุน เวลาวัดจริงก็ต้องได้ 4 หุน ส่วนเหล็กไม่เต็มก็คือ เหล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ได้ขนาดตามที่กำหนด ถ้าไม่กำหนดยี่ห้อเหล็ก ผู้รับเหมาส่วนมากจะใช้เหล็กไม่เต็ม เพราะราคาถูกกว่า
เหล็กเต็มที่ใช้กันคือเหล็ก บลส. ของเครือซีเมนต์ไทย วิธีสังเกต ให้ดูที่เหล็กเส้นว่ามีตัวอักษร “บลส.” หรือไม่ ถ้ามีถือว่าใช้ได้ ส่วนเหล็กข้ออ้อย (บลส.) จะมีแบบ sd 30 และ sd 40  เหล็ก sd 40 จะรับแรงดึงได้ดีกว่าเหล็ก sd 30 ราคาต่างกันนิดหน่อย เหล็กต้องไม่เป็นสนิมห้ามทาสีกันสนิมหรือเช็ดด้วยน้ำมันเด็ดขาดเพราะว่าปูนจะไม่เกาะกับเหล็ก


เหล็กฐานราก เสา คาน

เมื่อผูกเหล็กเสร็จแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฐานราก เสา คาน เหล็กนั้นจะต้องไม่มีส่วนใดถูกดิน และต้องห่างจากดินอย่างน้อย 5 ซ.ม.  เหล็กจะต้องไม่ติดกับแบบหล่อเสา คาน (ไม่ว่าจะเป็นแบบไม้ หรือ เหล็ก) เหล็กต้องห่างจากแบบประมาณ 1 นิ้ว  โดยการใช้ลูกปูนหนุนตรงจุดที่เหล็กติดกับไม้แบบ
การทำลูกปูน ใช้ปูน+ทราย+น้ำ หล่อเป็นสี่เหลี่ยม ขนาด 5 ซ.ม. x 5 ซ.ม. x 1 นิ้ว ตรงกลางเสียบลวดไว้สำหรับผูกติดกับเหล็ก
เหล็กปลอก คือ เหล็กที่รัดรอบเหล็กเสาหรือคาน เวลาผูกต้องสลับเหล็กปลอกไม่ให้ส่วนที่งอตรงกัน
เหล็กปลอก ต้องงอปลายอย่างน้อย 5 ซ.ม.
ถ้าต้อง ต่อเหล็ก ต้องต่อเกยกันประมาณ 1 เมตร งอปลายทั้ง 2 เส้น ถ้าเชื่อมด้วยยิ่งดี
การผูกลวดต้องผูกให้แน่น

คอนกรีต

คอนกรีตที่ให้เทฐานราก เสา คาน ควรจะใช้คอนกรีตผสมเสร็จของ cpac คอนกรีตที่ผสมเองจะรับแรงอัดได้น้อยกว่ามาก ที่ให้ใช้ของ cpac เพราะว่า ของเขาจะไม่โกงส่วนผสม มีการทดสอบกำลังอัด และมีใบรับรองผลของคอนกรีตแต่ละคัน แต่เราต้องบอกทาง cpac ว่าให้เก็บลูกปูนให้ทดสอบกำลังอัดด้วย และออกใบรับรองด้วย
คอนกรีตผสมเสร็จห้ามเติมน้ำเด็ดขาด เพราะจะทำให้กำลังอัดน้อยลง (ผู้รับเหมาะส่วนมากจะให้คนขับรถ cpac เติมน้ำให้เหลว เพื่อที่จะได้เทคอนกรีตง่าย เมื่อแกะแบบแล้ว เสา คาน จะสวยเรียบ) คอนกรีตผสมเสร็จจะไม่เหลวมาก ขณะเทคอนกรีตต้องมีเครื่องจี้ปูนด้วย เพื่อที่จะทำให้ฟองอากาศในเนื้อคอนกรีตลอยออก และทำให้คอนกรีตแน่น แต่ต้องจี้เป็น คือ ต้องจี้ตามแนวตั้งเท่านั้น ห้ามเอียง ห้ามถูกเหล็ก การจี้แต่ละจุดนานประมาณ 5 วินาที ถ้านานจัดจะทำให้หินตกอยู่ข้างล่าง ปูน ทรายจะลอยอยู่ด้านบน ทำให้ เสา คาน รับแรงได้ไม่ดีเท่าที่ควร ถ้าไม่มีเครื่องจี้ปูน ก็ให้หาเหล็ก หรือ ไม้ กระทุ้งคอนกรีตขณะที่กำลังเท และใช้ฆ้อนหรือไม้เคาะข้างแบบไปพร้อม ๆ กันด้วย
ฐานราก เสา คาน พื้น ควรได้รับการบ่มด้วยน้ำอย่างน้อย 7 วัน วิธีการบ่มคือ ใช้พลาสติกหรือกระสอบป่านห่อหุ้มเสา คาน แล้วราดน้ำให้ชุ่มตลอดเวลายิ่งดี ส่วนพื้นให้หาดินเหนียวมาป้องรอบ ๆ พื้น แล้วขังน้ำไว้ หรือใช้กระสอบป่านคุมที่พื้นแล้วราดน้ำให้ชุ่ม
บ่มคอนกรีตก็เพื่อให้น้ำระเหยออกไปช้าที่สุด แล้วจะได้เสา คาน พื้นที่รับแรงได้ดี ถ้าไม่บ่มเสา คาน พื้น จะทำให้การรับน้ำหนักหายไปประมาณครึ่งหนึ่ง
ต้องเสียบเหล็กหนวดกุ้งที่เสาก่อนการเทคอนกรีตทุกครั้ง เหล็กหนวดกุ้งคือเหล็ก 2 หุน ยาว 40 ซ.ม. เสียบโผล่ออกจากเสาบริเวณที่มีการก่ออิฐ เสียบห่างกัน 40-60 ซ.ม.  เสียบเหล็กเพื่อยึดผนังไม่ให้ล้มสร้างความแข็งแรงให้กับผนัง  ผู้รับเหมาบางรายไม่เสียบเหล็กขณะเทคอนกรีต มักจะมาเจาะเสาเพื่อเสียบเหลักทีหลังหรือไม่เสียบเลยก็มี

ผนังก่ออิฐ

ล้างพื้นบริเวณที่จะก่ออิฐให้สะอาด ต้องแช่อิฐในน้ำสะอาดเพื่อลดฟองอากาศในก้อนอิฐ(เวลาก่ออิฐ ๆ จะไม่ดูดน้ำปูนจากปูนก่อ) ช่างส่วนใหญ่จะไม่แช่อิฐ แต่จะใช้น้ำพรมอิฐแทน เพราะก่อง่ายไม่ล้ม ปูนก่อไม่กัดมือแต่ผนังไม่แข็งแรง ขณะก่ออิฐต้องมีเอ็นขึงแนวตั้งและแนวนอน ผนังจะได้ไม่เอียง อิฐแต่ละก้อนควรห่างกันอย่างน้อย 1.5 ซ.ม.


ข้อมูลจากกระทู้ pantip จากคุณ : amata-idea

Top